
มีเสียงสะท้อน-เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่วงเสวนาของนักเศรษฐศาสตร์ ผู้บริหารธุรกิจ ไปจนถึงวงสนทนาของประชาชนทั่วไปว่า เศรษฐกิจไทยมองไม่เห็นความหวัง มัวแต่กินบุญเก่าที่กำลังจะหมดไป ไม่มีการสร้างบุญใหม่ขึ้นมาแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เห็นด้วยเช่นกันว่า ประเทศไทยกินบุญเก่ามานาน และได้แสดงมุมมองในงาน “คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน” ที่จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกินแค่บุญเก่า ดังนั้น จึงบรรจุเรื่องนี้เป็นหนึ่งใน 5 เสานโยบายเศรษฐกิจ ‘Quick Big Win’ ซึ่งจะสนับสนุนและเร่งรัดการการลงทุนเพื่ออนาคต โดยการแก้ปลดล็อกอุปสรรคปัญหาในการลงทุน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องยอมรับความจริงว่าไทยเรากินบุญเก่ามานาน ไม่มีการลงทุนใหม่ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่ตั้งใจทำ แม้เข้ามาทำงานในรัฐบาลเพียงระยะเวลาสั้น ๆ คือ การวางรากฐานเศรษฐกิจเอาไว้ให้รัฐบาลต่อ ๆ ไป
เอกนิติแนะด้วยว่า สำหรับรัฐบาลหน้า สิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือ การสร้างความเข้มแข็งโดยการลงทุนเพื่ออนาคตระยะยาว ลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าแบบเดิม ซึ่งปัจจุบัน ไทยพึ่งพาการส่งออกคิดสินค้าคิดเป็น 60% ของจีดีพี เมื่อบวกกับการส่งออกบริการแล้วคิดเป็น 70% ของจีดีพี
“วันนี้ที่ไทยได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์มาก เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกมาก เมื่อเกิดการสะวิงของการส่งออก จึงส่งผลกระทบหนัก … การสร้างความเข้มแข็งในประเทศผ่านการลงทุนในระยะยาวจึงสำคัญมาก ผมจึงเน้นการลงทุนใน ‘คน’ และนโยบายเกือบทุกนโยบายเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต” รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าว
รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ นั้น ไทยมีกลุ่มเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนที่ชัด ทั้งเรื่องการเกษตร การแปรรูปอาหาร สมาร์ทฟาร์มมิง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งเป็นที่ต้องการมาก แต่สิ่งที่ไทยขาด คือ แรงงานทักษะ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่บริษัทด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ไปลงทุนที่เวียดนามมากกว่ามาไทย เพราะเวียดนามมีแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะด้าน STEM หรือ วิทยาศาสตร์ (science) เทคโนโลยี (technology) วิศวกรรมศาสตร์ (engineering) และคณิตศาสตร์ (mathematics) ซึ่งประเทศไทยมีน้อย เพราะฉะนั้น การจะพัฒนาพื้นฐานให้ไทยสามารถรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้ ต้องเน้นเรื่องรีสกิล เพิ่มทักษะแรงงาน
ส่วนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ นั้น เอกนิติกล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่ต้องมีคือ พลังงานสะอาด ต้องมีการลงทุนพลังงานสะอาด และต้องทำ Direct PPA ปลดล็อกให้ดาต้าเซ็นเตอร์ซื้อไฟตรงจากผู้ผลิต
“ที่สำคัญที่สุดคือปลดล็อกกติกา ประเทศไทยมีกฎกติกาเยอะมาก มีเงินรอลงทุนที่ผ่านการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรออยู่ประมาณ 400,000 ล้านบาท 80 โครงการ แต่ติดการขอน้ำ ขอไฟ ขอวีซ่า ผมแก้ทั้งหมดไม่ทันแน่นอน ผมจึงทำโครงการ Thailand FastPass เพื่อปลดล็อกการลงทุน” เอกนิติกล่าว
นอกจากนั้น รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวถึงภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และความเสียหายของภาคธุรกิจว่า ถึงแม้น้ำท่วมภาคใต้ไม่ส่งผลกระทบมากเท่าไรนักต่อภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีมูลค่าจีดีพีประมาณ 20 ล้านล้านบาท แต่กระทบต่อชีวิตคนมหาศาล ดังนั้น การจัดทำนโยบายเพื่อช่วยเหลือเยียวยาจึงไม่ใช่นโยบายเพื่อเศรษฐกิจมหภาค แต่เป็นนโยบายเพื่อเยียวยาชีวิตคนที่สูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สิน
“ได้ลงไปดูในพื้นที่ เห็นว่าชีวิตเขาไม่เหลืออะไรเลย ทรัพย์สินทุกอย่างสูญเสียหมด ไม่เหลืออะไรเลย ไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาอย่างไร เพราะเจอทางตัน โดยเฉพาะรายเล็กรายย่อย บ้านชั้น 1 หายหมด ร้านค้า ทรัพย์สินหายหมด”
รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวว่า ในการจัดทำนโยบายเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัย ได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมช่วยเหลือ โดยการเยียวยาจำเป็นต้องให้ธนาคาร-สถาบันการเงินพักหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย จำเป็นต้องมีการให้สินเชื่อดอกเบี้ย 0% เพื่อต่อชีวิตผู้ประสบภัย และต้องใช้ทุกเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือ ทั้งประกันภัยและประกันสังคม ซึ่งจากการที่ได้คุยกับภาคธุรกิจในพื้นที่ ได้ทราบว่าผู้ประกอบการไม่อยากเลิกจ้างพนักงาน แต่สถานประกอบการ-ธุรกิจเสียหาย ทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง ดังนั้น จึงต้องใช้กลไกของประกันสังคมเข้ามาช่วย
นอกจากนโยบายช่วยเหลือระยะเร่งด่วนที่เป็นเหมือนการให้ออกซิเจนเพื่อต่อลมหายใจแล้ว รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวว่า จะมีนโยบายป้องกันภัยและการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อให้หาดใหญ่ฟื้นขึ้นมาแข็งแกร่งกว่าเดิม
ทั้งนี้ รองนายกฯ และ รมว.คลังเล่าว่า จากการลงพื้นที่หาดใหญ่ ภาคเอกชนเสนอว่าอยากให้ปั้นหาดใหญ่เป็นสมาร์ทซิตี้ โดยมองปีนังของมาเลเซียเป็นต้นแบบ ซึ่งตนเองก็เห็นด้วยว่าหาดใหญ่มีศักยภาพ มีความพร้อม โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ช่วยในด้านการวางระบบและการพัฒนา
“หลักของการออกแบบนโยบาย คือ ไม่ใช่แค่ให้มีลมหายใจในระยะสั้น แต่จะช่วยให้กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม” รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าว