
แม้อุตสาหกรรมคริปโตจะก้าวสู่กระแสหลักทั่วโลก จนเริ่มได้รับการสนับสนุนและยอมรับจากผู้เล่นรายใหญ่ ตั้งแต่ธนาคารและสถาบันการเงินในวอลล์สตรีทไปจนถึงผู้ค้าปลีกออนไลน์ แต่การสืบสวนใหม่ล่าสุดกลับเผยด้านมืดของตลาดคริปโตที่กำลังเติบโตอย่างชัดเจน การสืบสวนร่วมระหว่าง International Consortium of Investigative Journalists, The New York Times และองค์กรสื่อกว่า 36 แห่ง ระบุว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีเงินผิดกฎหมายมูลค่าอย่างน้อย 28,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 9 แสนล้านบาท ไหลเข้าสู่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตหลายรายทั่วโลก
เงินจำนวนนี้ถูกโยงไปถึงกลุ่มอาชญากรรมระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นแฮกเกอร์ ขโมย แก๊งกรรโชกทรัพย์ ไปจนถึงอาชญากรไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ และแก๊งมิจฉาชีพที่ปฏิบัติการตั้งแต่มินนิโซตาไปจนถึงเมียนมา การติดตามเส้นทางเงินบนบล็อกเชนพบว่าบัญชีที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมายได้เคลื่อนย้ายเงินเข้าสู่แพลตฟอร์มซื้อขายรายใหญ่ที่สุดของโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมทั้งเปิดช่องให้เส้นทางฟอกเงินพัฒนาอย่างซับซ้อนและยากต่อการตรวจสอบมากขึ้น
รายงานของ The New York Times ระบุว่า หนึ่งในช่องทางฟอกเงินผ่านคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งตกเป็นเป้าการสอบสวนอย่างหนัก หลังเพิ่งทำข้อตกลงมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ กับบริษัทคริปโตของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ Binance เพิ่งยอมรับผิดในคดีละเมิดกฎหมายฟอกเงินเมื่อปี 2566 และต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์ ให้รัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากเคยประมวลผลธุรกรรมให้กลุ่มก่อการร้ายอย่างฮามาสและอัลกออิดะห์ในปีก่อนหน้า
แม้มีการสารภาพผิดและยอมชดใช้ค่าปรับแล้ว แต่การสอบสวนใหม่พบว่า Binance ยังคงรับเงินฝากจำนวนมากจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เงินกว่า 400 ล้านดอลลาร์ จาก Huione Group องค์กรที่กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมในกัมพูชา รวมถึงเงินกว่า 900 ล้านดอลลาร์ จากแพลตฟอร์มที่ถูกใช้โดยแฮกเกอร์เกาหลีเหนือในการฟอกเงินที่ขโมยมา ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มรายใหญ่อย่าง OKX ก็รับเงินฝากกว่า 220 ล้านดอลลาร์ จาก Huione ภายในช่วงเวลาเพียงห้าเดือน หลังเพิ่งทำข้อตกลงยอมความ 504 ล้านดอลลาร์กับทางการสหรัฐในข้อหาละเมิดกฎหมายการโอนเงินเช่นกัน
ผลการตรวจสอบโดยเครือข่ายองค์กรและสื่อต่างประเทศชี้ว่า อุตสาหกรรมคริปโตทั่วโลกมีเงินจากกลโกงไหลเข้าสู่ระบบไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2567 อ้างอิงข้อมูลจาก Chainalysis โดยเครือข่ายสื่อร่วมได้สัมภาษณ์เหยื่อกว่า 24 ราย ซึ่งทั้งหมดระบุว่าทรัพย์สินถูกหลอกลวงและสุดท้ายถูกโอนไปยังแพลตฟอร์มอย่าง Binance, OKX, Bybit และ HTX
รายงานยังพบว่า การดำเนินงานของ “โต๊ะซื้อขายคริปโต-เงินสด” (crypto-for-cash desks) เป็นอีกหนึ่งช่องโหว่สำคัญในการฟอกเงิน โดยในปีที่ผ่านมา มีเงินมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ไหลเข้าสู่ Binance, OKX และ Bybit ผ่านช่องทางนี้ ธุรกิจประเภทนี้ ซึ่งมักตั้งอยู่ในออฟฟิศหรือหน้าร้าน ให้บริการแลกเปลี่ยนคริปโตเป็นเงินสดโดยตรง และกลายเป็นเครื่องมือที่อาชญากรใช้เพื่อลบเส้นทางเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ แม้จะมีข้อกล่าวหาดังกล่าว ด้าน Binance ระบุว่าบริษัทยังคงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยโฆษก เฮโลอิซา คานัซซา เปิดเผยว่าบริษัทได้ตอบสนองคำขอจากหน่วยงานรัฐกว่า 240,000 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2560 รวมถึงกว่า 65,000 ครั้ง ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ OKX ยืนยันว่าทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างใกล้ชิด และได้ลงทุนในระบบตรวจจับการฉ้อโกงและระบบกำกับดูแลขั้นสูง ส่วน HTX ปฏิเสธให้ความเห็น และ Bybit ย้ำว่าบริษัทมีนโยบาย “ไม่ยอมรับอาชญากรรมทางการเงินอย่างเด็ดขาด”
นอกจากนี้ รายงานของ The New York Times ยังเจาะลึกถึงบทบาทของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการผลักดันอุตสาหกรรมคริปโตภายในประเทศอย่างจริงจัง หลังจากหันมาให้การสนับสนุนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มตัวในช่วงที่ผ่านมา
ในปี 2567 ทรัมป์และบุตรชายได้ร่วมก่อตั้งบริษัท World Liberty Financial ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะสร้างรายได้ปีละหลายสิบล้านดอลลาร์จากความร่วมมือกับ Binance ขณะเดียวกัน ก่อนการเลือกตั้งปี 2567 ทรัมป์ยังประกาศวิสัยทัศน์ให้สหรัฐกลายเป็น “เมืองหลวงคริปโตของโลก” ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณชัดเจนของการวางตัวสหรัฐให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมนี้
รายงานยังระบุถึงการใช้อำนาจของทรัมป์ในการอภัยโทษให้ ฉางเผิง จ้าว (CZ) ผู้ก่อตั้ง Binance ที่เพิ่งถูกตัดสินจำคุกสี่เดือนภายหลังบริษัททำข้อตกลงรับสารภาพในคดีฟอกเงิน การตัดสินใจดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายว่ามีความเชื่อมโยงเชิงผลประโยชน์หรือไม่ ระหว่างครอบครัวทรัมป์และกลุ่มธุรกิจคริปโตระดับโลก
ในด้านกฎระเบียบ รัฐบาลทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังมีคำสั่งยุบหน่วยบังคับใช้กฎหมายด้านคริปโตของกระทรวงยุติธรรมในเดือนเมษายน พร้อมสั่งให้อัยการมุ่งเป้าเฉพาะผู้ก่อการร้ายและเครือข่ายค้ายาเสพติดที่ใช้คริปโตเท่านั้น ขณะเดียวกันก็มีคำสั่ง “หลีกเลี่ยงการดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มซื้อขายโดยตรง” แม้มีหลักฐานจำนวนมากชี้ว่าบริษัทเหล่านี้เป็นศูนย์กลางสำคัญของการหมุนเวียนเงินผิดกฎหมายมูลค่ามหาศาล
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนเตือนว่า ปริมาณเงินสกปรกที่ไหลเวียนผ่านระบบคริปโตมีมากเกินกว่าหน่วยงานรัฐจะรับมือได้ทัน จูเลีย ฮาร์ดี ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทสืบสวน zeroShadow ระบุว่า “หน่วยงานรัฐกำลังถูกท่วมท้นด้วยปริมาณกิจกรรมผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้” ขณะที่ จอห์น กริฟฟิน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน เตือนว่า แพลตฟอร์มซื้อขายบางรายมีแรงจูงใจที่จะปล่อยให้ธุรกรรมต้องสงสัยเดินหน้าต่อไป เพราะหมายถึงรายได้ค่าธรรมเนียมจำนวนมากที่ไหลเข้าสู่บริษัท
ท้ายที่สุด แม้ว่าการวิเคราะห์ของ The Times จะสะท้อนเพียงส่วนหนึ่งของปริมาณเงินผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์มลักษณะนี้ แต่ถือเป็นหนึ่งในความพยายามติดตามเส้นทางเงินที่เป็นระบบมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเติบโตของตลาดคริปโตยังคงมี “อีกด้านหนึ่ง” ที่เติบโตเร็วไม่แพ้กัน ด้านที่เต็มไปด้วยกลไกตลาดซ่อนเร้น ช่องโหว่กฎหมาย และผลประโยชน์ทางการเมืองที่เกี่ยวพันกันอย่างแน่นหนา
ที่มา: The New York Times