
ในไตรมาส 3 ของปี 2568 ราคาที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีอัตราการขยายตัวเกิน 10% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส โดยมีหลายทำเลที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเกิน 20% ถือว่าราคาร้อนแรงน้องๆ ราคาทองเลยทีเดียว
ที่ดินทำเลไหนราคาเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ด้วยปัจจัยอะไร มาดูต่อกัน
บทวิเคราะห์เรื่อง “ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 3 ปี 2568” ที่จัดทำโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ณ ไตรมาส 3 ปี 2568 มีค่าดัชนีเท่ากับ 447.2 จุด เพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้น 14.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งเป็นการขยายตัวมากกว่า 10.0% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566
อัตราการขยายตัวดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ดินในทำเลศักยภาพสูงบริเวณแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น บางพลี–บางบ่อ–บางเสาธง ซึ่งมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงถึง 44.0% (YoY) รวมถึงที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งช่วงสมุทรปราการ–บางปู และแบริ่ง–สมุทรปราการ ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 26.1%
ทำเลที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินสูงสุด 5 อันดับแรกในไตรมาส 3 ปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ได้แก่
อันดับ 1: บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ราคาที่ดินสูงขึ้น 44.0% เนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่เติบโตต่อเนื่อง ใกล้สนามบิน สามารถเดินทางเข้าเมืองและ EEC ได้สะดวก
อันดับ 2: บางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย ราคาที่ดินสูงขึ้น 26.4%
อันดับ 3: เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ราคาที่ดินสูงขึ้น 26.1%
อันดับ 4: เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ราคาที่ดินสูงขึ้น 22.8%
อันดับ 5: เขตลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว ราคาที่ดินสูงขึ้น 21.4%
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินใน 5 อันดับแรกนี้ สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินในพื้นที่ปริมณฑลมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตามการขยายตัวของเมือง
ทั้งนี้ พื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลซึ่งมีฐานราคาที่ดินต่ำกว่าพื้นที่ชั้นในของเมืองมาก ยังคงมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้มีความต้องการซื้อที่ดินอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่ชานเมืองปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่ชั้นในของเมือง
สำหรับกรณีของจังหวัดสมุทรปราการ นอกจากแรงหนุนจากรถไฟฟ้าและการขยายตัวของเมืองแล้ว ยังได้รับแรงสนับสนุนมากเป็นพิเศษจากผังเมืองรวมฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2568 โดยได้มีการปรับปรุงข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน และปรับประโยชน์การใช้ผังสีให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น การขยายพื้นที่ที่สามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากและกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้ศักยภาพการพัฒนาและมูลค่าที่ดินในจังหวัดสมุทรปราการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ในไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่า เส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินสูงสุดมีรายละเอียด ดังนี้
อันดับ 1: ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) และสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ)โดยรถไฟฟ้าทั้งสองสายมีค่าดัชนีเท่ากับ 338.6 จุด และ 333.7 จุด ตามลำดับ แต่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเท่ากัน คือ 26.1% โดยที่ดินในพื้นที่พระสมุทรเจดีย์ และเมืองสมุทรปราการ เป็นบริเวณที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก
อันดับ 2: ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) มีค่าดัชนีเท่ากับ 337.4 จุด ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 20.7% โดยที่ดินในพื้นที่บึงกุ่ม เมืองนนทบุรี และหลักสี่ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก
อันดับ 3: ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) มีค่าดัชนีเท่ากับ 529.3 จุด ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 19.6% โดยที่ดินในพื้นที่เมืองนนทบุรี และบางใหญ่ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก
อันดับ 4: ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) มีค่าดัชนีเท่ากับ 505.3 จุด และ 460.1 จุด ตามลำดับ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากัน คือ 19.2% โดยที่ดินในพื้นที่สวนหลวง วังทองหลาง และห้วยขวาง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก
อันดับ 5: ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 654.8 จุด และ 644.6 จุด ตามลำดับ แต่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากัน คือ 18.5% โดยที่ดินในพื้นที่คลองเตย ห้วยขวาง และวัฒนา เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก