
นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความทาง X (ทวิตเตอร์) แสดงความเห็นคัดค้านบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายากระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ระบุว่าเป็น “ข้อตกลงที่ทำให้ไทยเสียเปรียบทุกทาง” และ “ขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของชาติ”
ในโพสต์ดังกล่าว นายภัทรพงษ์ตั้งคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงไปลงนามใน MOU ด้าน “แร่ธาตุหายาก” กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจและทรัพยากร ทั้งที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับการไปลงนามความร่วมมือด้าน “สันติภาพ” แต่อย่างใด พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า ไทยมีความจำเป็นอะไรในการลงนาม MOU นี้
นายภัทรพงษ์เปิดเผยว่า หลังนายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างว่าเรื่องนี้ได้ผ่านการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา เขาได้ย้อนกลับไปตรวจสอบเอกสาร “สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี” แต่กลับไม่พบว่ามีการบรรจุเรื่องดังกล่าวอยู่ในระเบียบวาระหรือผลการประชุมแต่อย่างใด “สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องนี้ระบุในสรุปผลประชุม ครม.เลยจริง ๆ” นายภัทรพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ นายภัทรพงษ์ยังชี้ว่า “กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่” ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องนี้ ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในแรร์เอิร์ธ โดยยกตัวอย่างว่า ในการประชุมอนุกรรมาธิการมลพิษทางน้ำข้ามแดน เจ้าหน้าที่กรมฯ ยังไม่สามารถอธิบายกระบวนการทำเหมืองแบบ In-situ Leaching ได้ จนเขาต้องเป็นฝ่ายอธิบายขั้นตอนให้เอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารเคมีในดินและแหล่งน้ำโดยตรง
นายภัทรพงษ์กล่าวว่า การลงนาม MOU ทั้งที่หน่วยงานรัฐยังไม่มีขีดความสามารถเพียงพอถือเป็น “ความประมาททางนโยบาย” และสะท้อนว่ารัฐบาลเร่งผลักดันข้อตกลงโดยไม่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
“นายกฯบอกว่าได้มีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาแล้วโดยกรมเหมืองแร่ฯ” ผมรีบกลับไปย้อนดูสรุปผลการประชุมครม.ทันที เพราะไม่เคยเห็นประเด็นนี้เลย #สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องนี้ระบุในสรุปผลประชุมครม.เลยจริงๆ
อีกทั้งกรมเหมืองแร่ฯเองก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นแรร์เอิร์ธเลย ในที่ประชุมอนุกรรมาธิการมลพิษทางน้ำข้ามแดน กรมฯยังไม่สามารถอธิบายได้เลยว่า การทำเหมืองแรร์เอิร์ธในประเทศเพื่อนบ้านทำด้วยวิธีอะไร ผมต้องไล่อธิบายวิธีทำแบบ In-situ Leeching ที่เจาะรูแล้วฉีดสารเคมีลงดินให้กรมฯฟัง
ในเมื่อรัฐไทยยังไม่มีความพร้อม แล้วรัฐบาลยอมเซ็นให้ประเทศเสียเปรียบขนาดนี้ได้อย่างไร และใน MOU ฉบับนี้ก็ยังไม่มีการระบุเรื่องการทำเหมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เรากำลังเจอปัญหาน้ำเป็นพิษที่เชียงใหม่และเชียงรายกันอย่างหนัก รัฐบาลทำให้ไทยกลายเป็นแค่หมากในสงครามแรร์เอิร์ธระหว่างจีน-สหรัฐไปแล้ว” นายภัทรพงษ์ระบุในโพสต์
นอกจากนี้ นายภัทรพงษ์ชี้ให้เห็นว่า ข้อตกลงฉบับนี้มีเงื่อนไขหลายประการที่อาจทำให้ไทยอยู่ในสถานะเสียเปรียบต่อสหรัฐฯ ถึง 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
“นี่ทรัพยากรของประเทศนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาไปต่อรองเพื่อผลประโยชน์แอบแฝงอะไรแบบนี้ ผมไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า รัฐบาลจะยอมเซ็น MOU ที่ประเทศไทยเสียเปรียบทุกทางแบบนี้ โดยไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ เลย และการยกเลิก MOU กับประเทศใหญ่ที่มีช่องทางบีบเราได้หลายทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยนะครับ รัฐบาลทำพลาดมาก
หากรัฐบาลจะอ้างว่า MOU ผูกพันทั้งสองฝ่ายเท่า ๆ กันในลักษณะที่ไม่ใช่สนธิสัญญา แต่อ่านถ้อยคำที่ระบุล้วนแต่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายสหรัฐ เพราะฝ่ายไทยไม่สามารถไปลงทุนแรร์เอิร์ธในสหรัฐแน่นอน เพราะการทำแรร์เอิร์ธในทวีปอเมริกาต้องใช้ต้นทุนสูงกว่าฝั่งประเทศเราหลายเท่า เนื่องจากต้องเจาะผ่านชั้นหินแข็ง และโอกาสที่จะเจอ Heavy Rare Earth ที่มีราคาตลาดสูงมาก ๆ ก็น้อย ส่วนมากจะเป็น Light Rare Earth ที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามาก” นายภัทรพงษ์ระบุในโพสต์
นอกจากนี้ นายภัทรพงษ์ยังระบุว่าไว้ในต้นโพสต์ด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ MOU ฉบับนี้ “ไม่มีแม้แต่การระบุเรื่องสิ่งแวดล้อม” ทั้งที่ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย กำลังเผชิญปัญหาน้ำเป็นพิษจากการทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน เขามองว่ารัฐบาลกำลังละเลยปัญหาเดิมในประเทศ แต่กลับเร่งสร้างปัญหาใหม่เพิ่มเติมจากการเปิดทางให้มีการสำรวจและขุดแร่หายากในประเทศ
นอกจากนี้ นายภัทรพงษ์ยังระบุด้วยว่า กฎหมายภายในของไทยเองก็ยัง “ไม่มีการตรวจสอบ Supply Chain ของแร่ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน” โดยผู้นำเข้าไม่ต้องเปิดเผยว่ามาจากเหมืองใด และไม่มีข้อกำหนดให้รายงานมาตรการจัดการมลพิษของแหล่งต้นทาง เพียงแค่ระบุชื่อประเทศต้นทางเท่านั้น “นี่สะท้อนว่าภายในประเทศ เรายังไม่สามารถจัดการกับปัญหาเดิมได้เลย แต่รัฐบาลกลับไปสร้างปัญหาใหม่เพิ่ม” เขากล่าว
นายภัทรพงษ์ยืนยันว่า MOU นี้ทำให้ไทยไม่มีอำนาจต่อรองที่แท้จริง เพราะในทางกลับกัน ฝ่ายไทยไม่สามารถไปลงทุนในสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากต้นทุนการทำเหมืองในทวีปอเมริกาสูงกว่าอย่างมาก อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่มีแต่แร่กลุ่ม Light Rare Earth ที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่าแร่กลุ่ม Heavy Rare Earth ซึ่งพบในเอเชีย
นายภัทรพงษ์จึงเรียกร้องให้รัฐบาลในฐานะรัฐบาลชั่วคราว “ระงับการดำเนินการภายใต้ MOU ฉบับนี้” และไม่เปิดช่องให้สหรัฐฯ ใช้ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือบีบให้ไทยอนุญาตการทำเหมืองแร่หายากในประเทศ พร้อมเสนอให้เร่งจัดทำกฎหมายลูกตามพระราชบัญญัติแร่ให้รัดกุมขึ้น เพื่อควบคุมการสำรวจ การแปรรูป และการนำเข้าทรัพยากรอย่างเป็นระบบ