Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ป.ป.ช. ผนึกแบงก์เปิดศูนย์ข้อมูลกลางตรวจเงิน-ธุรกรรมไว เริ่มใช้ปลายปี68
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ป.ป.ช. ผนึกแบงก์เปิดศูนย์ข้อมูลกลางตรวจเงิน-ธุรกรรมไว เริ่มใช้ปลายปี68

2 ก.ย. 68
15:22 น.
แชร์

ป.ป.ช. เดินหน้าสร้างความร่วมมือครั้งสำคัญกับสมาคมธนาคารไทยและผู้บริหารสถาบันการเงิน จัดประชุมเชิงนโยบายใหญ่เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก โดยมีนายประภาศ คงเอียด กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน การหารือมุ่งวางรากฐานระบบข้อมูลกลางทางการเงิน เพื่อเป็นกลไกใหม่ในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นายประภาศให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT ว่า ภารกิจหลักของ ป.ป.ช. ไม่ได้จำกัดเพียงการไต่สวนคดีทุจริต แต่รวมถึงการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและการไต่สวนความร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาข้อมูลจากภาคธนาคารโดยตรง โดยเฉพาะข้อมูลบัญชีเงินฝากที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ ป.ป.ช. จึงหารือกับสมาคมธนาคารไทยมาอย่างต่อเนื่องในปี 2568 เป็นปีที่สาม และปีนี้จะก้าวสู่ข้อสรุปสำคัญด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสร้างมาตรฐานกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูล

ที่ผ่านมา การทำงานของ ป.ป.ช. ต้องอาศัยการขอข้อมูลแบบแมนนวลจากธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้กระบวนการล่าช้า ซับซ้อน และเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อน อีกทั้งข้อมูลย้อนหลังที่เข้าถึงได้สะดวกมีเพียง 1-2 ปี ส่วนข้อมูลที่เก่ากว่านั้นถูกเก็บในคลังข้อมูลหรือเทปบันทึกซึ่งดึงมาใช้ได้ยากและสิ้นเปลืองทรัพยากร ขณะเดียวกัน ธนาคารยังต้องรองรับคำร้องจากหลายหน่วยงานพร้อมกัน จนเกิด “คอขวด” และภาระต้นทุนสูง

เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าว ป.ป.ช. และสมาคมธนาคารไทยจึงผลักดันโครงการ Financial Information System (FIS) หรือ “Template กลาง” ระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินแบบดิจิทัลไร้กระดาษ ที่จะช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความเร็วในการตรวจสอบ และสร้างมาตรฐานกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ขณะนี้โครงการคืบหน้ากว่า 90% อยู่ในขั้นทดสอบรอบสุดท้าย คาดว่าจะสามารถลงนาม MOU และนำระบบเข้าสู่การใช้งานจริงได้ภายในปลายปี 2568

ที่มาของการพัฒนาระบบ FIS ยกระดับตรวจสอบการเงินสู่ดิจิทัล

นายประภาศ อธิบายว่า ในอดีตการตรวจสอบบัญชีเงินฝากของ ป.ป.ช. ยังคงต้องอาศัยวิธีการแมนนวล ต้องทำหนังสือขอข้อมูลเป็นรายครั้ง และต้องอาศัยเอกสารกระดาษจำนวนมาก แม้ระบบดังกล่าวจะยังสามารถใช้งานได้ แต่ข้อจำกัดก็ปรากฏชัดเจน โดยเฉพาะความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล ธนาคารสามารถสืบค้นได้ย้อนหลังเพียง 1–2 ปี ส่วนข้อมูลที่เก่ากว่านั้นถูกเก็บใน Data Warehouse หรือแม้แต่เทปบันทึก การดึงข้อมูลเหล่านี้ใช้เวลานาน ต้องใช้ทรัพยากรบุคคลและเทคนิคสูง และบางครั้งยังเกิดความคลาดเคลื่อนเพราะต้องทำงานผ่านหลายขั้นตอน ข้อจำกัดดังกล่าวไม่เพียงสร้างภาระให้แก่ธนาคาร แต่ยังส่งผลต่อความเร็วและประสิทธิภาพของกระบวนการตรวจสอบด้วย

ธนาคารเองยังเผชิญกับภาระด้านบุคลากร เนื่องจากต้องตอบสนองต่อคำร้องไม่ใช่เพียงจาก ป.ป.ช. เท่านั้น แต่ยังรวมถึง ปปง. กรมสรรพากร และหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งต่างก็มีอำนาจตามกฎหมายในการขอข้อมูลทางการเงิน ส่งผลให้เกิด “คอขวด” ในการทำงาน หลายครั้งธนาคารต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากเพื่อจัดการคำร้อง ทำให้เกิดความล่าช้าและเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกัน ความต้องการของหน่วยงานรัฐก็พัฒนามากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงข้อมูลการเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝาก แต่รวมถึงข้อมูลเชิงลึก เช่น สัญญาเงินกู้ หลักฐานการโอนเงิน เอกสารประกอบการทำธุรกรรม ภาพถ่ายยืนยันตัวบุคคล และไฟล์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งระบบแบบเดิมไม่สามารถรองรับหรือจัดเก็บได้อย่างเป็นมาตรฐาน

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านกฎหมายและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากไม่มีข้อกฎหมายที่บังคับให้ธนาคารต้องเก็บข้อมูลย้อนหลังถึง 5 ปี การเข้าถึงข้อมูลที่เก่ากว่านั้นจึงสร้างความกังวลต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ เพราะอาจกระทบต่อ PDPA และความเสี่ยงด้านกฎหมายหากไม่มีกรอบชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล อีกทั้งภายใน ป.ป.ช. เองยังพบปัญหาการร้องขอข้อมูลซ้ำซ้อนจากหลายสำนักหรือหลายฝ่าย ทำให้ธนาคารต้องดำเนินการซ้ำโดยไม่จำเป็น และเสี่ยงต่อความไม่สอดคล้องของข้อมูลที่ส่งให้

จากปัญหาเหล่านี้ ป.ป.ช. และสมาคมธนาคารไทยจึงเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องมี “Template กลาง” เพื่อสร้างมาตรฐานร่วมกันสำหรับการรับ–ส่งข้อมูล และลดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน กระบวนการออกแบบ Template เริ่มจากการรวบรวมข้อกำหนดและความต้องการจากทุกฝ่าย ทั้ง ป.ป.ช. หน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ และธนาคารพาณิชย์ ก่อนนำมาสังเคราะห์และพัฒนาเป็นรูปแบบกลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้จริง โดยสมาคมธนาคารไทยเข้ามามีบทบาทเป็นศูนย์กลางประสานงาน ทำให้การสื่อสารเป็นเอกภาพ ลดความคลาดเคลื่อน และสร้างกลไกกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในระดับประเทศ

เมื่อได้ร่างรูปแบบที่เป็นมาตรฐานแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการหารือในระดับผู้บริหาร ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2566 และ 2567 เพื่อแปลงนโยบายให้เชื่อมโยงสู่การปฏิบัติจริง การประชุมเหล่านี้ได้ข้อสรุปสำคัญหลายประการ อาทิ การกำหนดให้ระบบ FIS เป็นช่องทางหลักและมุ่งสู่การทำงานแบบ Paperless ลดการใช้เอกสาร การเปิดให้เข้าถึงข้อมูลย้อนหลังเกิน 2 ปี โดยธนาคารเสนอให้มีการจัดทำรายชื่อบุคคลผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินเพื่อให้สามารถค้นหาได้รวดเร็วขึ้น การขยายประเภทข้อมูลที่ ป.ป.ช. สามารถเข้าถึงให้ครอบคลุมมากกว่าข้อมูลเงินฝาก เช่น ข้อมูลหนี้สิน บัตรเครดิต ประกันชีวิต และหลักฐานประกอบที่เกี่ยวข้อง การรวมศูนย์การร้องขอข้อมูลเพื่อลดความซ้ำซ้อนระหว่างฝ่ายภายใน และการผลักดันให้ข้อมูลที่ได้จาก FIS สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในศาล โดยสนับสนุนการใช้ Digital Signature แทนการลงนามด้วยเอกสารแบบเดิม เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความถูกต้องตามกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้ การพัฒนา FIS จึงไม่ใช่เพียงแค่การติดตั้งระบบเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นการวางรากฐานเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทั้งมาตรฐานการทำงาน กรอบกฎหมาย และกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคธนาคาร และฝ่ายตุลาการ เพื่อยกระดับการตรวจสอบทางการเงินของประเทศให้โปร่งใส รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน และตรวจสอบได้จริงในทุกมิติ ถือเป็นการปูทางให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบในการบังคับใช้กฎหมายและป้องกันการทุจริต

FIS ใกล้เสร็จสมบูรณ์ 90% เตรียมยกเลิกระบบแมนนวลปลายปีนี้

ในการประชุมวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช. และสมาคมธนาคารไทยได้รายงานความคืบหน้าโครงการ Financial Information System (FIS) หรือ “Template กลาง” ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินระหว่างหน่วยงานรัฐกับธนาคารพาณิชย์ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาระบบแมนนวลที่อาศัยเอกสารจำนวนมาก ช่วยลดภาระงานเอกสารทั้งฝั่งธนาคารและหน่วยงานของรัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบเส้นทางการเงินให้รวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้จริง 

นายประภาศกล่าวว่า ความก้าวหน้าล่าสุดของระบบอยู่ที่กว่า 90% โดยเข้าสู่ขั้นการทดสอบรอบสุดท้ายแล้ว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีเงินฝากที่สามารถทำงานร่วมกับระบบธนาคารพาณิชย์ได้อย่างครบถ้วนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน หากทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่กำหนดไว้ จะสามารถลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และนำระบบมาใช้งานจริงได้ภายในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568

เมื่อระบบแล้วเสร็จ การตรวจสอบบัญชีเงินฝากจะสามารถทำได้ในรูปแบบไร้กระดาษ (paperless) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของประเทศในการยกระดับกลไกตรวจสอบและป้องกันการทุจริต

ด้านสมาคมธนาคารไทยเผยความคืบหน้าว่า ข้อมูลที่ถูกกำหนดให้เชื่อมโยงผ่านระบบ FIS ในระยะแรกประกอบด้วย ข้อมูลบัญชีเงินฝาก (Template 01–02) และ ข้อมูลรายการเดินบัญชี (Template 03–04) โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งผ่านระบบ FIS ที่พัฒนาขึ้นโดยสำนักงาน ป.ป.ช. ปัจจุบันธนาคารสมาชิกได้เข้าร่วมทดสอบระบบแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการประชุมร่วมกันเพื่อยืนยันผลการทดสอบก่อนการนำไปใช้งานจริง

ในเดือนมิถุนายน 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้จัดทำร่าง MOU ว่าด้วยการเชื่อมโยงและรับ-ส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับธนาคาร โดยมีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ได้แก่ หลักการและวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูลทางการเงินเพื่อการตรวจสอบและไต่สวน ขอบเขตความร่วมมือในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรการรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล สิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย การจัดส่งและเข้าถึงข้อมูล ตลอดจนการกำหนดให้แต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเอง เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นอย่างอื่น ข้อตกลงยังระบุด้วยว่าหากมีการแก้ไขหรือเพิ่มเติม ต้องดำเนินการเป็นหนังสือและลงนามโดยผู้มีอำนาจของทั้งสองฝ่าย

ปัจจุบันมีธนาคารที่ตอบรับเข้าร่วมโครงการแล้ว 11 แห่ง ครอบคลุมทั้งธนาคารพาณิชย์สมาชิกสมาคมธนาคารไทย ธนาคารในสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารอิสลาม รวมทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ได้เสนอแก้ไขบางส่วนของร่าง MOU ขณะที่ธนาคารสมาชิกสมาคมนานาชาติยังอยู่ระหว่างการสังเกตการณ์ เนื่องจากปริมาณการร้องขอข้อมูลจาก ป.ป.ช. ไปยังธนาคารกลุ่มนี้ยังมีจำนวนน้อย

ในด้านการจัดเก็บและใช้พยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ โครงการ FIS ได้นำมาตรฐาน PDF/A-3 มาใช้ ซึ่งเป็นไฟล์ที่สามารถเก็บข้อมูลดิจิทัลได้ในระยะยาวโดยไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังสามารถแนบไฟล์อื่น ๆ ลงไปได้ในเอกสารเดียว เช่น XML ที่ใช้ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เอกสารมีทั้งคุณสมบัติในการจัดเก็บและค้นหาได้พร้อมกัน ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ประกาศมาตรฐาน ขมธอ. 3-2560 ผ่านสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อรองรับการใช้งาน PDF/A-3 ในการจัดเก็บและส่งข้อมูลภาษีอิเล็กทรอนิกส์กับกรมสรรพากรและคู่ค้า

ขยายสู่หนี้สิน-ผลิตภัณฑ์การเงินอื่น พร้อมกฎหมายคุ้มครองข้อมูล

แม้ในระยะแรก ระบบ FIS จะรองรับเฉพาะการตรวจสอบบัญชีเงินฝาก แต่ นายประภาศ เปิดเผยว่า ป.ป.ช. มีแผนขยายการพัฒนาสู่ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อธุรกิจ และข้อมูลหนี้สิน เพื่อให้การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการตรวจสอบหนี้สินยังต้องใช้ระบบแมนนวล ผ่านการทำหนังสือขอข้อมูลและการยืนยันจากธนาคารแต่ละแห่ง

ในการประชุมทางวิชาการระหว่างหน่วยงาน ธนาคารหลายแห่งแสดงความพร้อมที่จะให้ข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าหาก ป.ป.ช. ต้องการ ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนา Template กลางสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคต ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้จัดทำ ตารางความต้องการข้อมูล ส่งให้สมาคมธนาคารไทยแล้ว เพื่อใช้เป็นแนวทางวางแผนขยายระบบ FIS ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น และสนับสนุนการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การสร้างระบบกลางสำหรับข้อมูลด้านหนี้สินและผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ ยังมีความท้าทาย เนื่องจากฐานข้อมูลและรูปแบบผลิตภัณฑ์ของแต่ละธนาคารมีความแตกต่างและซับซ้อน จึงต้องอาศัยเวลาในการหารือและออกแบบมาตรฐานร่วมกันอย่างรอบคอบ

อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นหารือคือความกังวลของธนาคารต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงหากต้องเปิดเผยข้อมูลแก่ ป.ป.ช. นายประภาศชี้แจงว่า รัฐบาลได้ออก พระราชกฤษฎีกายกเว้น สำหรับกรณีนี้แล้ว เพื่อให้ธนาคารสามารถส่งมอบข้อมูลได้โดยไม่ถือว่ามีความผิด โดยการยกเว้นดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะบุคคลที่อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบตามกฎหมาย ป.ป.ช. ได้แก่ ผู้ยื่นบัญชี คู่สมรสทั้งที่ชอบด้วยกฎหมายและที่อยู่กินฉันสามีภรรยา รวมถึงบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

นายประภาศยังกล่าวด้วยว่า ป.ป.ช. ตระหนักดีว่าการร้องขอข้อมูลจากธนาคารย่อมก่อให้เกิดต้นทุน ทั้งด้านการดำเนินงานและการเงิน ดังนั้น แนวทางในอนาคตจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างการที่ ป.ป.ช. ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และการที่ธนาคารไม่ต้องแบกรับภาระเกินสมควร

ความร่วมมือระหว่าง ป.ป.ช. และสมาคมธนาคารไทยจึงไม่เพียงช่วยยกระดับประสิทธิภาพการตรวจสอบ แต่ยังสร้าง มาตรฐานธรรมาภิบาลระยะยาว และถือเป็น “ผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ” เพราะการมีระบบข้อมูลกลางที่ใช้มาตรฐานเดียวกัน จะช่วยเสริมสร้างความโปร่งใส ความเชื่อมั่น และความเข้มแข็งให้แก่กลไกตรวจสอบของไทยในอนาคต


แชร์
ป.ป.ช. ผนึกแบงก์เปิดศูนย์ข้อมูลกลางตรวจเงิน-ธุรกรรมไว เริ่มใช้ปลายปี68