Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ชาวกัมพูชาแห่แบนแบรนด์ไทยทั่วประเทศ ธุรกิจใหญ่เร่งรีแบรนด์ลดแรงปะทะ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ชาวกัมพูชาแห่แบนแบรนด์ไทยทั่วประเทศ ธุรกิจใหญ่เร่งรีแบรนด์ลดแรงปะทะ

15 ส.ค. 68
10:58 น.
แชร์

บรรยากาศทางการเมืองและสังคมในกัมพูชากำลังร้อนระอุ เมื่อกระแสคว่ำบาตรสินค้าบริการจากไทยปะทุอย่างรุนแรง ท่ามกลางความตึงเครียดตามแนวชายแดนที่ยังคงยืดเยื้อ แม้ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวแล้วก็ตาม กระแสเรียกร้องให้เลิกใช้แบรนด์ไทยดังก้องในโลกออนไลน์และขยายวงกว้างสู่ชีวิตประจำวัน กลายเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อธุรกิจไทยที่ปักหลักลงทุนในกัมพูชามานานหลายปี

ความไม่พอใจนี้ปะทุขึ้นหลังเหตุปะทะนาน 5 วัน ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 43 ราย ทั้งทหารและพลเรือนจากสองฝั่ง มาเลเซียทำหน้าที่เป็นคนกลางนำไปสู่การหยุดยิงปลายเดือนที่ผ่านมา โดยมีสหรัฐฯ และจีนหนุนหลัง ก่อนที่อาเซียนจะส่งทีมติดตามสถานการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อน 

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเทศยังคงกล่าวหากันว่าฝ่าฝืนข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความขัดแย้งนี้อาจยืดเยื้ออีกนาน เพราะรากเหง้าของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข

กระแสเดือดคว่ำบาตรลุกลาม ธุรกิจไทยในกัมพูชาถูกบีบเร่งรีแบรนด์

นิกเกอิ เอเชีย รายงานว่า ขณะนี้กระแสชาตินิยมในกัมพูชากำลังทวีความรุนแรงขึ้น ชาวกัมพูชาหลายพันคนบนโซเชียลมีเดียได้ร่วมกันรณรงค์ให้หันมาใช้แบรนด์ท้องถิ่นของเขมรแทนการสนับสนุนธุรกิจและแฟรนไชส์จากไทย กระแสดังกล่าวเริ่มจากการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ ภายใต้แคมเปญบนโซเชียลมีเดียอย่าง “Khmer love Khmer” และ “Boycott Thai Products” ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายและสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาต่อผู้ประกอบการไทย

กระแสนี้ได้ลุกลามจากโลกออนไลน์เข้าสู่ภาคธุรกิจจริง ครอบคลุมตั้งแต่ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงร้านกาแฟ โดยมีการปลดหรือคลุมป้ายโฆษณาและโลโก้ของแบรนด์ไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทั่วกรุงพนมเปญ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากต้องเร่งปรับกลยุทธ์และดำเนินมาตรการเพื่อลดแรงต้านจากสังคม

หนึ่งในบริษัทไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ กลุ่มน้ำมันแห่งชาติของไทยอย่าง ปตท. ซึ่งสื่อท้องถิ่นรายงานว่ามีปั๊มน้ำมันในกัมพูชามากถึง 186 แห่ง โดยหนึ่งในผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนคือ เตีย เซียม แฟรนไชส์ปั๊มน้ำมัน ปตท. ในกัมพูชา และน้องชายของเตีย เสียะ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ซึ่งได้ออกมาประกาศว่าจะเป็นผู้นำการปรับโฉม “ปั๊ม ปตท. ทุกแห่งในประเทศ” ให้กลายเป็นแบรนด์ท้องถิ่นภายใต้ชื่อ Peace Petroleum Cambodia 

ปัจจุบัน เตีย เซียม ใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร โพสต์ข้อความและวิดีโอเกือบทุกวัน พร้อมย้ำว่ากว่า 90% ของธุรกิจ ปตท. ในกัมพูชานั้นเป็นของนักลงทุนท้องถิ่นทั้งหมด ขณะที่พนักงานก็เป็นชาวกัมพูชา 100% ซึ่งทำให้ธุรกิจนี้สามารถสร้างงานให้ประชาชนหลายพันคน เขาระบุว่า “ผมกำลังพยายามแก้ปัญหาทั้งในด้านกฎหมายและเรื่องของพนักงาน ไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้”

ผลกระทบจากการบอยคอตยังสะท้อนอย่างชัดเจนในวิถีชีวิตประจำวันของพนักงานแนวหน้าอย่าง พูน นารง พนักงานปั๊มน้ำมันวัย 23 ปี ที่ปฏิบัติงานอยู่บนถนนสายหลักซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญเชื่อมกรุงพนมเปญกับเสียมราฐ โดยเขาเล่าว่า หลังความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาปะทุขึ้น ปริมาณลูกค้าของปั๊มก็ลดฮวบจากเดิมเกือบ 500 รายต่อวัน เหลือเพียงสิบกว่ารายเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก รถยนต์ส่วนบุคคล รถตุ๊กตุ๊ก หรือมอเตอร์ไซค์ที่เคยแวะเวียนมาเติมน้ำมันเป็นประจำก็แทบหายไป

นอกจากรายได้ที่ลดฮวบ พูนยังต้องเผชิญแรงกดดันทางสังคมอย่างรุนแรง ถูกตำหนิและด่าทอทั้งในโซเชียลมีเดียและต่อหน้า ทั้งที่เขาเป็นคนเขมรและเพียงทำงานหาเลี้ยงชีพ เขาชี้ไปที่ป้ายถนนซึ่งตัวอักษรย่อ PTT ถูกถอดออก เหลือเพียงโลโก้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าใบหนา เพื่อสะท้อนแรงกดดันให้เร่งรีแบรนด์ พร้อมเล่าว่าลูกค้าที่เหลือมักสอบถามถึงความคืบหน้าการปรับโฉมเป็นแบรนด์ท้องถิ่น

“ปตท. จบแล้วในกัมพูชา” เขากล่าว ก่อนจะเสริมว่า แม้ขณะนี้พนักงานยังสวมเครื่องแบบเดิม แต่เมื่อการรีแบรนด์แล้วเสร็จ พวกเขาก็น่าจะได้เปลี่ยนเป็นยูนิฟอร์มใหม่ในไม่ช้า

นอกจากนี้ แรงต้านจากสังคมยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงธุรกิจปั๊มน้ำมันของ ปตท. เท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงธุรกิจในเครืออย่าง Cafe Amazon ซึ่งมีมากกว่า 250 สาขาในกัมพูชาด้วย หลังความขัดแย้งระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้น พนักงานบางส่วนของ Cafe Amazon ในกัมพูชายอมรับว่าตนมีความกังวลด้านความปลอดภัย บาริสตาวัย 19 ปีในกรุงพนมเปญเล่าว่า ช่วงบ่ายวันหนึ่งเธอต้องช่วยคลุมป้ายร้านและมาสคอตนกแก้วด้วยผ้าใบสีดำ

“ฉันรู้สึกกลัวตั้งแต่เหตุการณ์นี้เริ่มขึ้น ตอนนี้ไม่ใส่ยูนิฟอร์มนอกร้านแล้ว และบอกครอบครัวว่าอย่าบอกใครว่าฉันทำงานที่ Cafe Amazon” เธอกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าการรีแบรนด์จะแล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้พนักงานและลูกค้ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

นอกเหนือจากธุรกิจในเครือ ปตท. กระแสชาตินิยมนี้ยังส่งผลกระทบต่อสินค้าและบริการจากไทยอีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง คาราบาว, ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ดำเนินการในกัมพูชา ตลอดจนธุรกิจของ ปูนซีเมนต์ไทย (SCG) ซึ่งต่างเผชิญแรงกดดันจากผู้บริโภคที่หันไปสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นอย่างเด่นชัด

กัมพูชายังต้องพึ่งพาสินค้าและซัพพลายเออร์ไทย 

ทั้งนี้ นิธ โกซอล นักวิจัยเศรษฐกิจจากสถาบันทรัพยากรเพื่อการพัฒนากัมพูชา มองว่า แม้ความพยายามลดการพึ่งพาสินค้าจากไทยจะสะท้อนความตั้งใจพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ กัมพูชายังไม่มีกำลังการผลิตและสินค้าท้องถิ่นเพียงพอต่อความต้องการ “เราจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ได้ แต่เศรษฐกิจยังไม่พร้อมหยุดพึ่งพาซัพพลายเออร์จากไทยทั้งหมด”

ข้อมูลจาก Atlas of Economic Complexity ซึ่งอ้างอิงฐานข้อมูลของสหประชาชาติ ระบุว่า ในปี 2023 ไทยส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐไปยังกัมพูชา โดยน้ำมันปิโตรเลียมคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสี่ของมูลค่าการค้ารวม “สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสให้กัมพูชาทดสอบศักยภาพด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถตัดสินค้าหรือวัตถุดิบจากไทยออกไปได้ทั้งหมด” นิธกล่าว พร้อมเสริมว่า หากการหยุดยิงยังดำเนินต่อและไม่มีการปะทะกันอีก กระแสคว่ำบาตรในโซเชียลก็อาจค่อย ๆ จางลง และผู้คนจะกลับมามองเรื่องนี้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น


แชร์
ชาวกัมพูชาแห่แบนแบรนด์ไทยทั่วประเทศ ธุรกิจใหญ่เร่งรีแบรนด์ลดแรงปะทะ