นโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนต่อระบบการศึกษาระดับสูงของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการรับนักศึกษาต่างชาติผ่านระบบ Student and Exchange Visitor Program (SEVP) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้นักศึกษาต่างชาติใหม่ไม่สามารถลงทะเบียนเรียนได้ ขณะที่นักศึกษาต่างชาติเดิมอาจจะต้องมีการโอนย้ายสถานที่เรียนหรือสูญเสียสถานภาพทางกฎหมาย
สาเหตุเบื้องหลังคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐฯ มาจากข้อกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไม่ให้ความร่วมมืออย่างเพียงพอในการจัดการกับการประท้วงของนักศึกษาที่แสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ อีกทั้งยังถูกกล่าวหาว่ากลายเป็นพื้นที่รวมของแนวคิดที่ต่อต้านสหรัฐฯ ต่อต้านชาวยิว และสนับสนุนการก่อการร้าย ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเพื่อต่อสู้กับคำสั่งดังกล่าว
ปัจจุบัน ศาลกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้นักศึกษาต่างชาติสามารถพำนักและศึกษาอยู่ต่อได้ในระหว่างการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม หากผลตัดสินออกมาว่าฮาร์วาร์ดแพ้ นักศึกษากลุ่มนี้จะต้องเลือกว่าจะย้ายไปยังสถาบันอื่นในสหรัฐฯ เพื่อรักษาสถานะวีซ่า หรือย้ายไปศึกษาต่อในต่างประเทศ
นักวิชาการเตือนว่าการจำกัดสิทธินักศึกษานานาชาติในลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการรักษาความเป็นผู้นำด้านการศึกษา นวัตกรรม และการดึงดูดคนเก่งจากทั่วโลก
สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏชัด เมื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียหลายแห่งประกาศความพร้อมในการรับนักศึกษาฮาร์วาร์ดที่ได้รับผลกระทบ พร้อมข้อเสนอพิเศษด้านการรับเข้าเรียนแบบเร่งด่วน และการสนับสนุนทางวิชาการเต็มรูปแบบ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงท่าทีเชิงรุกของสถาบันการศึกษาในเอเชียที่มุ่งใช้โอกาสนี้ยกระดับบทบาทในเวทีการศึกษาระดับนานาชาติ
ข้อมูลจาก Open Doors ระบุว่า นักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ มากกว่า 70% มาจากภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย ซึ่งรวมกันคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 55% ของนักศึกษาทั้งหมด การที่มหาวิทยาลัยในเอเชียเร่งเปิดรับนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจึงไม่ใช่เพียงมาตรการช่วยเหลือในระยะสั้น แต่เป็นกลยุทธ์เชิงรุกในการแข่งขันเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำทางวิชาการในระดับโลก
ขณะเดียวกัน ประเทศในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียและเวียดนามก็เริ่มขยับเชิงนโยบายเพื่อรองรับบุคลากรระดับสูงจากต่างประเทศ โดยการออกวีซ่าระยะยาว การลดภาษีสำหรับแรงงานวิชาชีพ ไปจนถึงโครงการเชิงรุกอย่าง Overseas Talent Roadshow ของ Techcombank ธนาคารจากเวียดนามซึ่งมุ่งดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม และการเงินให้กลับมาทำงานในประเทศต้นทาง
ท่ามกลางวิกฤตจากนโยบายกีดกันนักศึกษาต่างชาติของรัฐบาลทรัมป์ มหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียเร่งแสดงจุดยืนในการเปิดรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเสนอทางเลือกด้านการศึกษา การโอนหน่วยกิต และการสนับสนุนอย่างรอบด้าน เพื่อดึงดูดบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ระบบการศึกษาของภูมิภาค
มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งฮ่องกง (HKUST) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยแรกที่ยื่นข้อเสนอให้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา HKUST ได้ประกาศ “คำเชิญเปิด” สำหรับนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด รวมถึงผู้ที่ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อที่ฮาร์วาร์ดแล้ว ให้มาศึกษาต่อที่ HKUST แทน
“โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อบริบทของการเปลี่ยนแปลงในแวดวงการศึกษาระดับนานาชาติ และสะท้อนถึงพันธกิจของ HKUST ในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ระดับโลกที่หลากหลายและมีคุณภาพ” มหาวิทยาลัยระบุ พร้อมกล่าวว่าจะมีการเสนอการรับเข้าเรียนแบบไม่มีเงื่อนไข พร้อมลดขั้นตอนการสมัคร และมอบการสนับสนุนทางวิชาการอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจและสายด่วนทางอีเมลเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งห้ามดังกล่าว
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากทางการฮ่องกงได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยในท้องถิ่นยื่นมือช่วยเหลือนักศึกษานานาชาติของฮาร์วาร์ด ซึ่งมีจำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่ของนักศึกษาทั้งหมด และหลายคนมาจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง
“เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งห้ามมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับนักศึกษาต่างชาติ สำนักงานการศึกษาได้รีบติดต่อไปยังมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นเพื่อขอให้ดำเนินการอย่างเชิงรุกทันที” คริสติน ชอย ยุกหลิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของฮ่องกง กล่าวผ่านโพสต์ในโซเชียลมีเดีย พร้อมระบุว่ามหาวิทยาลัยฮ่องกงควรใช้โอกาสจากการเพิ่มโควตานักศึกษาต่างชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลานี้
มหาวิทยาลัยอื่นในฮ่องกงก็เริ่มดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เช่น มหาวิทยาลัย City University ระบุว่ากำลัง “ให้การสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติที่ประสบปัญหาด้านการศึกษา โดยเชิญให้มาศึกษาต่อในฮ่องกง” พร้อมเสริมว่าจะเชิญอาจารย์ที่ปรึกษาเดิมของนักศึกษาปริญญาเอกมาเป็นที่ปรึกษาร่วมด้วย ส่วน Chinese University of Hong Kong (CUHK), Hong Kong Baptist University (HKBU) และ Hong Kong Polytechnic University (PolyU) ต่างก็ออกแถลงการณ์ในแนวทางเดียวกันเพื่อให้การสนับสนุนเช่นกัน
มหาวิทยาลัยโตเกียว แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า กำลังพิจารณารับนักศึกษาต่างชาติที่ถูกห้ามเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเข้าศึกษาชั่วคราว
มหาวิทยาลัยแห่งนี้เคยเปิดโครงการในปี 2022 เพื่อรับนักศึกษาและนักวิจัยที่ได้รับผลกระทบจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยให้การสนับสนุนด้านที่พัก อุปกรณ์การเรียน ทุนสนับสนุนทางการเงิน และบริการให้คำปรึกษาทางจิตใจ
นอกจากนี้ เมื่อวันอังคาร รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยในประเทศพิจารณารับนักศึกษาต่างชาติที่ลงทะเบียนเรียนที่ฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นในสหรัฐฯ เข้าศึกษาชั่วคราว หากมีข้อจำกัดเพิ่มเติมเกิดขึ้น
“เราต้องการร่วมมือกับสถาบันที่เกี่ยวข้อง และจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการรับประกันสิทธิทางการศึกษาสำหรับเยาวชนที่มีความสามารถและความมุ่งมั่น” โทชิโกะ อาเบะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในการแถลงข่าว
กระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นระบุว่า องค์การสนับสนุนนักศึกษาญี่ปุ่น (Japan Student Services Organization: JASSO) จะเปิดเผยจุดยืนของแต่ละมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเกี่ยวกับความสามารถและแนวทางในการให้ความช่วยเหลือนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวในเร็วๆ นี้
Macau University of Science and Technology แสดงความพร้อมเต็มที่ในการรับนักศึกษาฮาร์วาร์ด โดยเสนอทุนการศึกษา ครอบคลุมค่าใช้จ่ายและที่พัก รองอธิการบดี แพง ชวน (Pang Chuan) ยืนยันว่า นักศึกษาสามารถโอนหน่วยกิตจากฮาร์วาร์ดมาได้โดยตรงโดยไม่ซับซ้อน
นอกจากนี้ สำนักงานการศึกษาและพัฒนาเยาวชนมาเก๊า (DSEDJ) ยังได้เริ่มติดต่อกลุ่มนักศึกษามาเก๊าที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เพื่อให้ความช่วยเหลือและแนะแนวอย่างใกล้ชิด
Sunway University ในมาเลเซียประกาศผ่าน LinkedIn โดย นางเอลิซาเบธ ลี (Elizabeth Lee) ซีอีโอของ Sunway Education Group ว่ามหาวิทยาลัยพร้อมเปิดรับนักศึกษาฮาร์วาร์ดทันที โดยสามารถโอนหน่วยกิตจากฮาร์วาร์ดมาใช้กับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยได้โดยตรง
นอกจากนี้ Sunway ยังมีความร่วมมือกับ Arizona State University (ASU) ซึ่งเปิดทางให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้หน่วยกิตกับหลักสูตรของ ASU ได้เช่นกัน เพิ่มความยืดหยุ่นในการเรียนต่อในระดับสากล
การดำเนินนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งจำกัดสิทธินักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะกรณีที่พุ่งเป้าไปยังมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก กำลังจุดกระแสความวิตกกังวลในแวดวงวิชาการและการทูตวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง นักวิชาการเตือนว่าหากแนวโน้มดังกล่าวยังดำเนินต่อไป สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะเสื่อมถอยของ “อำนาจละมุน” (soft power) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่ทำให้ประเทศครองบทบาทผู้นำในเวทีโลกมายาวนาน
แม้คำสั่งห้ามของรัฐบาลจะถูกศาลกลางสั่งระงับชั่วคราว แต่การเคลื่อนไหวเชิงอุดมการณ์ของทรัมป์กลับสะท้อนแนวโน้มที่กว้างขึ้นในการลดทอนบทบาทของโครงการส่งเสริมความหลากหลาย ความร่วมมือระหว่างประเทศ และงบวิจัยที่เป็นหัวใจของระบบอุดมศึกษาสหรัฐฯ มาโดยตลอด
ภายใต้กรอบนโยบาย "America First" รัฐบาลทรัมป์ได้ปรับลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศ รวมถึงลดการสนับสนุนสถาบันวัฒนธรรมสำคัญของประเทศ เช่น พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน และศูนย์ศิลปะการแสดงเคนเนดี โดยกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือเผยแพร่อุดมการณ์ฝ่ายซ้าย ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังโจมตีสื่อ เช่น Voice of America และขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศสูงถึง 100% ซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกที่เคยเป็นส่วนสำคัญของซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ
ศาสตราจารย์โจเซฟ ไน นักรัฐศาสตร์ผู้พัฒนาแนวคิด Soft Power เคยให้สัมภาษณ์กับ AFP เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า “ทรัมป์คิดแต่เรื่องการบีบบังคับและการจ่ายเงิน” ซึ่งสะท้อนมุมมองที่เพิกเฉยต่อกลไกการโน้มน้าวใจ ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของอิทธิพลระยะยาวของสหรัฐฯ ก่อนที่เขาจะถึงแก่อสัญกรรมในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ไบรอัน ชมิดต์ นักดาราศาสตร์รางวัลโนเบลและศิษย์เก่าฮาร์วาร์ด เตือนว่าการตัดงบวิจัยและจำกัดเสรีภาพทางวิชาการจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถของสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง และลดทอนความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรมในระยะยาว
นอกจากนี้ แบบสำรวจจากวารสาร Nature ยังพบว่า นักวิจัยระดับปริญญาเอกที่ศึกษาในสหรัฐฯ ถึง 75% กำลังพิจารณาย้ายออกไปทำงานในต่างประเทศ ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กาวิน นิวซัม ออกมาเตือนว่าการจำกัดวีซ่าและการควบคุมแรงงานต่างชาติจะสร้างความเสียหายต่อระบบนวัตกรรม โดยเฉพาะในรัฐที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น แคลิฟอร์เนีย
จากการวิเคราะห์ของ Jo Adetunji อาจารย์วิชา Globalisation จาก Harvard Summer School ระบบการศึกษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์และขยายอิทธิพลของประเทศสหรัฐฯ ในเวทีโลก ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ ได้แก่
มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างฮาร์วาร์ดไม่เพียงเป็นกลไกทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเวทีเผยแพร่ค่านิยมประชาธิปไตย นักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศนอกกลุ่ม OECD ที่ไม่ได้มีระบบประชาธิปไตยแบบเต็มใบ เมื่อกลับประเทศมักมีแนวโน้มเข้าสู่แวดวงการเมืองหรือภาครัฐ
งานวิจัยของเธอชี้ว่า การเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาตะวันตกในประเทศอย่างสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการเปิดโลกทัศน์ของผู้นำรุ่นใหม่ให้รับแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย อีกทั้งผู้นำที่มีการศึกษาดีมักส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศของตน
การสร้างเครือข่ายส่วนตัวระหว่างเรียนในสหรัฐฯ ยังช่วยเชื่อมโยงสหรัฐฯ กับเครือข่ายนานาชาติที่สนับสนุนประชาธิปไตย เช่นในกรณีของเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ อดีตประธานาธิบดีไลบีเรียและศิษย์เก่า Harvard Kennedy School ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากบทบาทในการส่งเสริมสิทธิสตรีและสันติภาพในแอฟริกา
แนวคิดเรื่อง Soft Power ของสหรัฐฯ ซึ่งเสนอโดยศาสตราจารย์โจเซฟ นาย แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้ว่า การโน้มน้าวใจผ่านวัฒนธรรมและการศึกษาให้ผลยั่งยืนกว่าการใช้อำนาจแข็ง เช่น กำลังทหาร
ในโลกวิชาการและการศึกษา มหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดจึงเปรียบเสมือน “แบรนด์ระดับโลก” ที่เป็นตัวแทนของภาพลักษณ์และความก้าวหน้าทั้งในด้านสังคมและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ บนเวทีโลก โดยในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาในสหรัฐฯ ติดอันดับต้น ๆ ของโลก เช่น 10 แห่งจาก 25 อันดับแรกใน QS World Rankings ล้วนเป็นมหาวิทยาลัยอเมริกัน
นอกจากนี้ ชื่อเสียงด้านวิชาการและงานวิจัย เช่น ด้านการแพทย์ การเปลี่ยนผ่านพลังงาน หรือเศรษฐศาสตร์ ยังทำให้นักเรียนหัวกะทิจากกว่า 140 ประเทศทั่วโลกต่างเลือกสหรัฐฯ เป็นจุดหมาย ซึ่งจะส่งเสริมให้ความสามารถทางวิชาการและองค์ความรู้ในสหรัฐฯ แข็งแกร่งล้ำหน้าประเทศอื่นขึ้นไปอีก
บัณฑิตต่างชาติจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ทั้งในฐานะผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และผู้นำในภาคธุรกิจระดับนานาชาติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ อีลอน มัสก์ (University of Pennsylvania) และสัตยา นาเดลลา (University of Chicago) ซึ่งต่างก็เป็นอดีตนักศึกษาต่างชาติที่สร้างอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในวงการนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก
รายงานจาก National Foundation for American Policy ระบุว่า เกือบ 25% ของบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ มีผู้ร่วมก่อตั้งที่เคยเป็นนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของการศึกษาระดับสูงในสหรัฐฯ ในการสร้างทุนมนุษย์คุณภาพสูงให้กับตลาดแรงงานและระบบนิเวศทางธุรกิจ
ในแง่เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ยังพึ่งพารายได้จากนักศึกษาต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักเรียนเหล่านี้มักจ่ายค่าเล่าเรียนในอัตราที่สูงกว่านักศึกษาท้องถิ่น รายได้ดังกล่าวนำไปใช้สนับสนุนงานวิจัย พัฒนาหลักสูตร และรักษามาตรฐานวิชาการระดับโลกของสถาบัน
ข้อมูลจาก สมาคมผู้ส่งเสริมการศึกษานานาชาติ (NAFSA) ระบุว่า ในปีการศึกษา 2023-2024 นักศึกษาต่างชาติมีบทบาทในการสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึง 43.8 พันล้านดอลลาร์ และมีส่วนช่วยในการจ้างงานกว่า 378,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ
ด้าน Institute of International Education (IIE) รายงานว่า ปีการศึกษาเดียวกันมีนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาในสหรัฐฯ มากกว่า 1.1 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีแหล่งที่มาหลักจากเอเชีย ได้แก่ อินเดีย จีน และเกาหลีใต้
สำหรับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นักศึกษาต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ไม่เพียงเป็นตัวแทนของความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยให้มหาวิทยาลัยสามารถดำรงมาตรฐานระดับโลกในด้านการวิจัยและการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง: Time, RNZ, The Conversation