Dyson บริษัทพัฒนาและผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังจากอังกฤษ เตรียมทุ่มเงินตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในสิงคโปร์ พร้อมศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าในฟิลิปปินส์ และเมือง Bristol ในอังกฤษ มุ่งพัฒนาแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เบา และเก็บพลังงานได้ดีขึ้น
จากรายงานของ The Guardian โรงงานนี้จะตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะสิงคโปร์ และมีขนาด 247,000 สแควร์ฟุต หรือเท่ากับสนามบาสเกตบอลประมาณ 53 สนาม โดย Dydon คาดว่าจะโรงงานแห่งนี้จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ และพร้อมดำเนินการเต็มที่ในปี 2025
แผนขยายฐานการพัฒนาและผลิตสินค้าออกมาในเอเชียครั้งนี้เป็นหนึ่งกระบวนการในแผนขยายธุรกิจ 5 ปีมูลค่าถึง 2.75 พันล้านปอนด์ หรือราว 1.17 แสนล้านบาทของ Dyson ที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ ปํญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนมากขึ้น
จากรายงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนาใน Bristol และเมือง Santo Tomas ในฟิลิปปินส์จะมีมูลค่าถึง 100 ล้านปอนด์ และ 166 ล้านปอนด์ ตามลำดับ สำหรับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในสิงคโปร์ ทาง Dyson ยังไม่ได้เปิดเผยถึงมูลค่าโรงงานแห่งนี้ มีเพียงว่า มูลค่าจะสูงกว่า ทั้งศูนย์วิจัยใน Bristol และ Santo Tomas และเป็นมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่ Dyson เคยลงทุน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตสินค้า
นอกจากนี้ Dyson ยังมีแผนจะรับวิศวกรถึง 400 คนในฟิลิปปินส์มาร่วมงานในปีนี้ รวมไปถึงวิศวกรจบใหม่อีก 50 คนที่คาดว่าจะเข้าไปทำงานในช่วงปลายปี 2023 ซึ่งบุคลากรทั้งหมดนี้จะมาทำหน้าที่พัฒนาซอฟต์แวร์ เอไอ และออกแบบฮาร์ดแวร์ให้กับสินค้าของ Dyson
โดยปัจจุบัน Dyson จ้างงานพนักงานกว่า 14,000 คนใน 80 ประเทศ ซึ่งมีพนักงานถึง 1,400 คน ที่ทำงานอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่ง Dyson เลือกที่จะย้ายสำนักงานใหญ่มาตั้งไว้เมื่อปี 2019
นอกจากสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอังกฤษ แล้ว Dyson ยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าในจีน มาเลเซีย และโปแลนด์ โดยเป็นศูนย์กลางพัฒนาซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีข้อมูล การเงิน และศูนย์ทรัพยากรบุคคลของ Dyson
Dyson เป็นบริษัทที่ก่อตั้งในปี 1991 โดย James Dyson ในประเทศอังกฤษ โดยมีธุรกิจหลัก คือ พัฒนาสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ใช้ ‘ลม’ เช่น ไดร์เป่าผม อุปกรณ์จัดแต่งทรงผม เครื่องดูดฝุ่น พัดลม และเครื่องกรองอากาศ
สำหรับผลการดำเนินงานของ Dyson ในปี 202 นั้น ได้มีกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ Ebitda ของ Dyson อยู่ที่ 1.3 พันล้านปอนด์ ลดลง 13.3% จาก 1.5 พันล้านปอนด์ในปี 2021 จากภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ที่มา: The Strait Times, The Guardian