Procter & Gamble (P&G) ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคเผชิญกับยอดขายที่น่าผิดหวังในไตรมาสล่าสุด สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากกลยุทธ์การปรับขึ้นราคาสินค้าต่อเนื่องตลอดสองปีที่ผ่านมา
รายงานข่าวจากทาง CNBC ระบุว่า Procter & Gamble (หรือ P&G) ผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ที่มีความผันผวน เนื่องจากบริษัทต้องรับมือกับการดึงดูดผู้บริโภคกลับมา หลังจากมีการปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยตลอดสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาซักผ้า Tide หรือกระดาษชำระ Charmin ทำให้เวลานี้ราคาสินค้าของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
แม้ว่าประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) จะระบุว่า P&G ไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาอย่างเป็นทางการในระดับประเทศช่วงไตรมาสนี้ก็ตาม แต่แม้จะมียอดขายที่น่าผิดหวัง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสำหรับทั้งปีงบประมาณ โดยล่าสุดราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงเล็กน้อย (มากกว่า 1%) ในการซื้อขายช่วงเช้า โดยตัวเลขสำคัญเปรียบเทียบกับประมาณการของนักวิเคราะห์ดังนี้
ตัวเลขที่ P&G ประกาศในไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ:
ผลประกอยการย้อนหลัง 4 ปี บริษัท Procter & Gamble (หรือ P&G)
สำหรับภาพรวมทั้งปี P&G คาดการณ์ว่ารายได้ต่อหุ้นจะเติบโต 10% ถึง 11% ซึ่งสูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 8% ถึง 9% บริษัทยังปรับประมาณการรายได้ให้เติบโตในช่วง 1% ถึง 2% ดีขึ้นจากการคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะลดลง 1% หรือไม่เติบโตเลย ทั้งนี้ P&G ยังคงประมาณการยอดขายที่เติบโต 2%-4% ในปี 2024 ไว้เท่าเดิม
ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม ผู้บริหารของบริษัทเคยคาดการณ์ว่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปีงบประมาณ 2024 แต่หลังจากผ่านไปสามไตรมาส บริษัทยังไม่สามารถดึงดูดลูกค้าจำนวนมากที่เคยเลิกใช้สินค้าไปเนื่องจากการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม P&G มีสามกลุ่มธุรกิจที่มียอดขายเติบโตในไตรมาสนี้ กลุ่มสินค้าความงาม (เช่น Olay และ Pantene) มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 1% จากนวัตกรรมใหม่ๆ ในผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ธุรกิจผลิตภัณฑ์โกนหนวด (มีดโกน Gillette และ Venus) เติบโตร้อยละ 2 ส่วนกลุ่มธุรกิจดูแลบ้านและผ้า (เช่น Febreze และ Swiffer) เติบโต 1%
แต่ปริมาณการขายลดลงต่อเนื่องในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าดูแลสุขภาพ รวมถึงสินค้าสำหรับเด็ก ผู้หญิง และครอบครัว โดยบริษัทชี้ว่าสาเหตุคือการปรับขึ้นราคาของสินค้าและฤดูไข้หวัดในปีที่ผ่านมาไม่รุนแรงมากนักทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าดูแลสุขภาพขายได้ลดลง ด้านภูมิภาคก็ยังคงเป็นอีกปัจจัยในยอดขายที่ซบเซาของบริษัท ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของ P&G ยังคงมีความต้องการผลิตภัณฑ์ในราคาสูงอย่างครีมบำรุงผิว SK-II ลดลง นอกจากนี้ ผู้บริษัทยังระบุว่าบางตลาด โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง มีการลดโปรโมชั่นจากร้านค้าปลีกเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามในกาซา
“ผลกระทบมีอยู่จริงแต่ยังจำกัด และเราคาดว่าจะลดลง หากความตึงเครียดในสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลงในอนาคต" ผู้บริหารกล่าว
ในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ P&G นั้น บริษัทมียอดขายเติบโตถึง 3% ผู้บริหารชี้ว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังไม่ลดระดับการใช้จ่าย หรือเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้า “เนื่องจากผู้บริโภคไม่อยากเสี่ยงลองสินค้าใหม่ถึงแม้ราคาจะถูกกว่า เมื่อสินค้าเดิมให้คุณภาพที่พวกเขาคาดหวังถึงแม้ว่าจะต้องจ่ายมากขึ้นก็ตาม ” ผู้บริหารกล่าว
P&G ยังคาดว่าต้นทุนด้านวัตถุดิบที่ลดลงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 800 ล้านดอลลาร์ นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว ที่ต้นทุนวัตถุดิบส่งผลกระทบต่อบริษัทและนำมาสู่การปรับราคาสินค้าขึ้น
สุดท้ายนี้ P&G ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในขณะนี้ กลยุทธ์การปรับขึ้นราคาสินค้าส่งผลกระทบต่อยอดขายในบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับ P&G และบริษัทคาดการณ์ว่าจะเติบโตต่อไปในปีงบประมาณ 2024
ที่มา CNBC