Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
จากกำแพงภาษี สู่การเร่งพัฒนาหุ่นยนต์

จากกำแพงภาษี สู่การเร่งพัฒนาหุ่นยนต์

15 ส.ค. 68
06:00 น.
แชร์

ในปี 1791 Alexander Hamilton ได้เสนอใน “Report on Manufactures” ให้มีการคุ้มครองอุตสาหกรรมในสหรัฐฯที่กำลัง “ตั้งไข่” เพื่อให้อุตสาหกรรมที่กำลังสร้างตัวสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ 

สองศตวรรษต่อมา สหรัฐฯได้ปัดฝุ่นกลยุทธ์เดิมนี้ขึ้นมาใช้ใหม่ภายใต้การนำของ Donald Trump ด้วยความพยายามที่จะดึงการผลิตกลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือนโยบายอุตสาหกรรมได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งแล้วและกำลังปะทะกับตลาดแรงงานที่ค่อนข้างตึงตัวในขณะที่เครื่องจักรรุ่นใหม่ๆได้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด 

หนึ่งในตัวอย่างจากผลลัพธ์ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์คือการที่ Apple ต้องวางแผนกระจายการผลิตไปหลายที่ จากที่ตอนแรก Apple พยายามที่จะกระจายความเสี่ยง โดยวางแผนย้ายฐานการผลิตจำนวนมากจากจีนไปที่อินเดีย ผ่านไปไม่นานอินเดียก็ส่อโดนกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 50% ล่าสุด Apple ต้องออกมาเปิดตัวแผนการลงทุนภายในประเทศ โดยเพิ่มเงินลงทุนในสหรัฐอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ ดันยอดรวมเป็น 600,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 4 ปี พร้อมเปิดโครงการ American Manufacturing Program เพื่อดึงซัพพลายเชนชิ้นส่วนสำคัญกลับสหรัฐมากขึ้น

ความต้องการระบบอัตโนมัติที่สูงขึ้น

กำแพงภาษีทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งหนึ่งในทางออกคือการดึงเอาการผลิตกลับเข้ามาในประเทศ แต่นั่นก็จะส่งผลให้ความต้องการแรงงานเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งในปัจจุบันสหรัฐฯ มีคนงานที่พร้อมทำงานโรงงานน้อยกว่าในอดีตมาก บริษัทต่างๆต้องหาทางออกด้วยวิธีที่สามารถลดต้นทุนระยะยาวได้ นั่นคือการใช้ระบบอัตโนมัติอย่างเทคโนโลยีหุ่นยนต์ 

สิ่งที่น่าสนใจคือผลกระทบนี้อาจกลายเป็น “ตัวเร่ง” ที่ทำให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์พัฒนาเร็วขึ้นกว่าที่คิดไว้ตอนแรก ในภาวะปกติ การพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากมักขับเคลื่อนจากฝั่ง supply side เป็นหลัก หรือ technology push ซึ่งก็คือการที่เทคโนโลยีพร้อมใช้แล้ว ค่อยหาวิธีให้ตลาดรับไปใช้ 

แต่เมื่อตอนนี้สหรัฐฯมีแรงกดดันให้ดึงสายการผลิตกลับประเทศ ประจวบกับปัญหาด้านขาดแรงงานและค่าแรงแพง แรงกดดันจากฝั่ง demand side หรือ market pull จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้เทคโนโลยีอย่าง robotics ถูก adopt ใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น และเมื่อเรามีทั้ง technology push และ market pull แรงผลักดันทั้งสองตัวนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยี robotics ‘เร่งสปีด’ ขึ้นอย่างชัดเจน

จากตัวเลขย้อนหลังบริษัทในสหรัฐฯสั่งซื้อหุ่นยนต์สถิติสูงสุด 44,196 ตัวในปี 2022 แล้วหยุดชั่วคราวในปี 2023 เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นและอุตสาหกรรมรถยนต์เซื่องซึมลง โดยซื้อ 31,159 ตัว แต่ก็ยังคงสูงกว่าระดับก่อนช่วงโควิดมาก โดยภายในปี 2023 หุ่นยนต์อุตสาหกรรมประมาณ 382,000 ตัวทำงานในโรงงานสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่

ภาพจาก iStock

 นโยบายอุตสาหกรรมยังมีการอุดหนุนการพัฒนาภายในประเทศผ่าน CHIPS and Science Act โดยมีการจัดสรรงบประมาณ 52.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ และจัดหาเงินทุนให้กับศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับภูมิภาคและการวิจัยพัฒนา เงินสาธารณะที่มุ่งดึงห่วงโซ่อุปทานกลับมาบ้านและผลักดันประสิทธิผลให้เพิ่มขึ้น

จาก Advanced Cobot สู่ Humanoid

เรื่องราวหุ่นยนต์ที่น่าสนใจไม่ได้มีแต่ humanoid หรือหุ่นยนต์มนุษย์เท่านั้น แต่เป็น "โคบอท" ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งโคบอทเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย โดยโคบอทรุ่นใหม่ๆเป็นแขนกลที่สามารถทำงานซับซ้อนได้ ใช้เวลาเทรนน้อย เหมาะกับงาน high mix low volume ที่เดิมทีไม่คุ้มกับการใช้หุ่นยนต์เพราะตั้งค่ายุ่งยาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้กระบวนการนี้ง่ายและเร็วขึ้นและสามารถใช้ทำงานที่ต้องการความแม่นยำสูง (high precision) คาดว่าเราจะได้เห็นการใช้งาน advanced cobot ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจากตัวเลขล่าสุดโคบอทมีการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 10.5% ของการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมทั้งหมดในปี 2023 และเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะปรับใช้ได้เร็ว เปลี่ยนงานได้ และถูกกว่าสายการผลิตใหม่ 

ภาพจากเว็บไซต์ GXO

นอกจาก advanced cobot แล้วเราก็ได้เห็นพัฒนาการของ humanoid ที่มีการพัฒนาที่ค่อนข้างเร็ว หนึ่งในตัวอย่างการใช้งาน humanoid เชิงพาณิชย์คือการที่ GXO หนึ่งในบริษัทโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปลี่ยนจากโครงการทดลองเป็นข้อตกลงหลายปีเพื่อใช้ Digit หุ่นยนต์ humanoid ของ Agility Robotics ในการใช้งาน operation จริง 

นอกจาก digit แล้วยังมีหุ่นยนต์ humanoid ที่ทำงานที่หลากหลายได้ เช่น Figure Robot ที่มีความสามารถในการทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อน ผ่านระบบ two-brain system หรือสมองสองส่วนซึ่งแม้ตอนนี้ยังอยู่ในเฟส pilot และยังไม่ถูกใช้ในสายการผลิตจำนวนมาก (mass production) แต่เมื่อเทคโนโลยีและต้นทุนลงตัว ก็อาจเปิดประตูสู่งานที่หลากหลายกว่าที่เราคิด

จุดเปลี่ยนของอนาคตแรงงาน

จาก advanced cobot ที่เริ่มเข้ามาทำงานในโรงงานมากขึ้น ไปจนถึง humanoid ที่กำลังก้าวออกจากห้องทดลองสู่การใช้งานจริง สิ่งที่เราเห็นคือไม่ใช่แค่การทดแทนแรงงาน แต่เป็นการสร้างรูปแบบการผลิตใหม่ที่ผสมผสานความยืดหยุ่นของมนุษย์และความแม่นยำของเครื่องจักร 

การผสมผสานระหว่างนโยบายการค้าที่เข้มงวดและความขาดแคลนแรงงานในสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวเร่งให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์พัฒนาเร็วขึ้น แต่ยังอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกแรงงานโดยเมื่อ technology push และ market pull มาบรรจบกัน เราอาจได้เห็นการปฏิวัติครั้งใหม่ของภาคอุตสาหกรรม ที่การผลิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการย้ายไปหาแรงงานที่ถูกกว่า แต่เป็นการแข่งขันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

ดร.ณรงค์ บริจินดากุล

ดร.ณรงค์ บริจินดากุล

Technical Specialist ที่ SCB 10X

แชร์
จากกำแพงภาษี สู่การเร่งพัฒนาหุ่นยนต์