หากจะพูดถึงเครื่องดื่มให้พลังงาน หรือ Energy Drink เชื่อว่าแบรนด์แรกๆที่ทุกคนนึกถึงก็น่าจะเป็นกระทิงแดง ส่วนใครที่อยู่ต่างประเทศก็คงไม่พ้น Red Bull แน่นอน
และถึงแม้ว่าใครที่ไม่ได้ดื่มกระทิงแดง หรือว่า Red Bull ก็น่าจะเคยเห็นโลโก้ Red Bull ผ่านการเป็นสปอนเซอร์กีฬาชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีม, E-Sports หรือแม้แต่ผลงานสร้างชื่ออย่าง F1
สำหรับตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานในไทยปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านบาท กลุ่ม TCP ก็ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ Top of mind ของผู้บริโภคและขึ้นเป็นครองตลาดเป็นอันดับ 1 ในหมวดตลาดพรีเมียมเอนเนอร์จี้ดริงก์ด้วยส่วนแบ่ง 60%
บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยสุด exclusive กับคุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ถึงแผนการเติบโตของ TCP หลังปลุกปั้น กระทิงแดง Red Bull เจาะตลาดโลกสำเร็จกว่า 170 ประเทศ ส่วนตอนนี้พร้อมปั้นน้องใหม่ ให้ปังเดินตามรอยรอยเท้ารุ่นพี่
หากพูดชื่อ TCP หลายคนอาจจะไม่คุ้นชินว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจอะไร แต่หากบอกว่า TCP คือผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังระดับโลกอย่าง ‘กระทิงแดง’ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือไม่ว่าจะเป็น ‘สปอนเซอร์’เครื่องดื่มเกลือแร่ ‘เรดดี้’ เครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง ‘โสมพลัส’ เครื่องดื่มบำรุงกำลังผสมโสมเกาหลีแท้ 100% ‘แมนซั่ม’ เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน ‘วอริเออร์’ เครื่องดื่มเอเนอร์จี้โซดา ‘เพียวริคุ’ ชาพร้อมดื่ม และ ‘ซันสแนค’ ขนมเมล็ดทานตะวัน คงจะทำให้รู้จักกันมากขึ้น
คุณสราวุฒิ ได้เปิดเผยกับทีม SPOTLIGHT ให้ฟังว่า “ตอนนี้พอร์ตโฟลิโอของเรามุ่งไปกับเครื่องดื่ม กับ ขนม และระยะหลังมาเน้นในเรื่องของสุขภาพ เพราะตอนนี้เทรนด์ตลาดสุขภาพกำลังบูม เราเชื่อว่าทุกวันนี้ คนที่ดื่มเครื่องดื่ม เขาไม่ต้องการแค่ดับกระหายอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นการดื่มที่ต้องได้ประโยชน์ต่อร่างกายด้วย นั่นก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้เราพัฒนาสินค้าของเรา”
สำหรับ กระทิงแดง และ Red Bull คุณสราวุฒิ ได้เปิดเผยกับทีม SPOTLIGHT ว่า กระทิงแดง Red Bull เป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องดื่มให้พลังงาน โดยมีโรงงานผลิตโดยตรงประมาณ 17 ประเทศ และส่งออก flavorมากถึง 170 ประเทศทั่วโลก
นั่นแปลว่าแทบไม่มีประเทศไหนที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ของ Red Bull หรือพูดง่ายๆก็คือ ทุกคนรู้จักหมดแล้ว นั่นเลยทำให้ คุณสราวุฒิ มองต่อว่า โจทย์ต่อไปคือการปั้นสินค้าใหม่และที่สำคัญคือต้องประสบความสำเร็จและดังให้ไกลเหมือนกับรุ่นพี่
“ตอนนี้สิ่งที่เรากำลังวางแผน คือจะทำยังไงให้ นอกเหนือจากกระทิงแดง ที่ไปทั่วโลกแล้ว เราต้องการปั้นสินค้า second flagship ซึ่งอาจจะเป็นตัว ‘เรดดี้’ ‘วอริเออร์’ หรือ ‘สปอนเซอร์’ ซึ่งตัวที่มีโอกาสมากที่สุดก็อาจจะเป็น ‘สปอนเซอร์’ เพราะเราส่งออกไปบางประเทศอยู่ และอยากจะปั้นให้เป็น second flagship เดินตามรอยเท้ารุ่นพี่ Red Bull ไป”
คุณสราวุฒิ ได้เผยกับทีม SPOTLIGHT ฟังว่า แม้ว่าตอนนี้มีการแข่งขันค่อนข้างสูงในตลาดเครื่องดื่มให้พลังงาน หรือว่ energy drink แต่ตลาดก็ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจะดูซบเซา
สิ่งที่น่าสนใจในตลาดในช่วงนี้คือ ‘พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่’ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ตอนนี้ segments ละเอียดมาก ผู้บริโภคแต่ก่อนมีตัวเลือกไม่เยอะ แต่ตอนนี้มีให้เลือกเต็มไปหมด ทุกคนเข้ามาทำสินค้าเครื่องดื่มกันเยอะมาก นั้นยิ่งทำให้เราก็ต้องเร่งพัฒนา ทั้งตัวสินค้า และการตลาด เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม
แต่ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศก็มีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป นั่นจึงทำให้ TCP ต้อง localize ในแต่ละประเทศ “ตอนนี้เราเริ่มพัฒนาสินค้าใหม่ๆที่ไม่ได้ base ในประเทศไทย เช่น warrior เกิดที่เวียดนาม แล้วก็เจาะตลาดที่มาเลเซียเพิ่ม มี Red Bull ที่ออกมา format ใหม่ๆ ที่จีน เช่น รสชาติ zero sugar
“เพราะผู้บริโภคชาวจีน กิน energy drink ค่อนข้างเยอะ แล้วชีวิตเค้าค่อนข้าง active นั่นทำให้เขาตองใช้พลังงานเยอะ ก็เลยออกตัว Red Bull PT ซึ่งสามารถพกพาสะดวก เพราะมันไม่หนัก ไม่แตก”
นอกจากนี้ คุณสราวุฒิ ยังได้เปิดเผยอีกว่า หลายๆประเทศเริ่มเปิดใจให้กับเครื่องดื่มเกลือแร่อย่าง ‘สปอนเซอร์’ อย่างเช่น กลุ่มทวีปแอฟริกา “เราอาจจะคิดว่าอากาศร้อน มันก็แค่ร้อนเฉยๆ แต่จริงๆแล้ว อากาศร้อนมันมีผลต่อร่างกาย ทั้งเสียเหงื่อ เสียเกลือแร่เยอะ ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายของเรามันจะตกลง การโฟกัสในการทำงานของเราก็จะหาย”
คุณสราวุฒิ ได้เปิดใจเล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ตอนนี้กำลังซื้อหดตัวลงจริง เศรษฐกิจซบเซาจริง และ TCP ได้รับผลกระทบ แต่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับประเทศไทยประเทศเดียว แต่เกิดเป็นวงกว้างในหลายประเทศ โดยตอนนี้คุณสราวุฒิมองว่ามี 2 มิติ คือ
1.สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จริง
2.สภาพเศรษฐกิจที่คนไม่เชื่อมั่น เพราะอนาคตมันดูไม่แน่นอน ผู้บริโภคหลายๆประเทศเค้าอาจจะยังมีเงิน แต่เค้าอาจจจะเลือกที่จะใช้น้อยลง
“และสิ่งที่เราพยายามทำคือ มันมีสินค้า อะไรบ้างที่ตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้ เวลาไหนควรปล่อยสินค้าไหน product ไหน เพื่อให้เหมาะในแต่ละช่วงเวลาของตลาด”
สำหรับกลุ่ม TCP ที่มีพอร์ตในหลากหลายประเทศ บางประเทศดี บางประเทศแย่ นั่นเลยทำให้มันพอพยุงช่วยกันจนบาลานซ์ได้ แต่ยอมรับว่า “ปีนี้มีความท้าทายสูง”
“ประเทศเวียดนามและจีน มีแนวโน้มเติบโต แม้ว่าอาจจะไม่ได้เติบโตเท่าแต่ก่อน แต่ตลาดยังมี potential ในการเติบโต ผมว่าหลายๆอย่างมันเชื่อมกับสภาพเศรษฐกิจ ตอนนี้มันแค่ 5 เดือนเอง ก็ต้องดูต่อไปเรื่อยๆ”
คุณสราวุฒิ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศมีปีญหา ทำให้บริษัทหลายเจ้ามองว่า ถ้าเศรษฐกิจในประเทศมีปัญหา ถ้าอย่างนั้นฉันก็ทำการตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เราเห็นเทรนด์ชัดเจนเลยว่า บางสินค้า ยุโรป สหรัฐอเมริกาหลังๆก็จะมาบุกตลาดเอเชียมากขึ้น เพราะฉะนั้นโดยอัตโนมัติทำให้การแข่งขันมันสูงขึ้น ซึ่งเราก็ต้องปรับตัวไป เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดี การแข่งขันมันจะสูง เพราะถ้าตลาดไม่โต ทุกคนจะแย่งกันกินแชร์กันและกัน”
คุณสราวุฒิ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า อีกหนึ่งปัญหาหลักคือเรื่องของ demographic ในหลายๆประเทศ “ตอนนี้เราเริ่มเห็นชัดมากขึ้น เรากำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทุกองค์กรก็ต้องปรับตัว ทั้งในเรื่องของสินค้าและการบริการ ถ้าผู้บริโภคสูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามคือเรายังมีสินค้าที่ตอบโจทย์ life style หรือ needs ของลูกค้ากลุ่มนี้ไหม?”
ส่วนในเรื่องของกระบวนการในการทำงานภายในขององค์กรเองก็ต้องปรับ เพราะตอนนี้ประชากรเริ่มหดตัวลง คนทำงานน้อยลง คำถามที่น่าคิดคือองค์กรเราจะปฎิวัติรูปแบบการทำงานอย่างไร จะมีการนำเทตโนโลยีอย่าง AI เข้ามาใช้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ?
ส่วนในเรื่องของมาตการ กฎ รวมถึงกำแพงภาษี คุณสราวุฒิ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “ตอนนี้ งงกันไปหมด กับ policy ที่มันเปลี่ยนแปลงรายวัน แต่สุดท้ายเราอาจจะต้องมองเป็นบรรทัดฐานของโลกในยุคปัจจุบันแล้วแหละ มันก็ต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ อย่าง Supply Chain ในอดีตมัน Global ที่ไหนทำได้ถูกทำได้ดี ที่นั้นก็จะถูกจ้างให้ผลิตเยอะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะมีการกีดกันมากขึ้น ก็ต้องอาศัยการปรับตัว”
“ส่วนในเรื่องกำแพงภาษีผมเชื่อว่ายังไงมันก็มีผลแน่ๆในระยะสั้น จะมากจะน้อยก็อาจจะแตกต่างกันไป สุดท้ายสิ่งที่เราไม่รู้ก็คือผลลัพธ์ ว่ามันจะออกมาแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่เราทำได้อย่างเดียวตอนนี้ ก็คือต้องปรับตัวเอง และพร้อมที่จะปรับแผนตลอดเวลา อย่าง กระทิงแดง Red Bull ไปเจาะประเทศใหม่ตอนนี้ก็ไม่มีแล้วแหละ เพราะส่งออกไป 170 ประเทศแล้ว แต่เราอยากจะหา second flagship เดินตามรุ่นพี่ ส่วนปีนี้มีเป้าภายใน แต่ไม่ใช่เป้าที่ aggressive มาก อาจจะต้องเดินหน้ารุกเต็มที่ แต่ต้องไปด้วยความระมัดระวังมากขึ้น”