Kerry Express วิกฤติหนัก ผลการดำเนินงานพลิกขาดทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในปี 2565 พบขาดทุนต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส หลังพิษเศรษฐกิจและเงินเฟ้อทำต้นทุนการดำเนินงานเพิ่ม กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ทำหุ้นดิ่งถึง 14.9 บาทในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ลดลง 44.29% จากราคา IPO (28 บาท) และ 78.63% จากราคาสูงสุด (73 บาท)
ธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่เคยอยู่ในขาขึ้นในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้บริโภคต้องพึ่งพาการซื้อของทางออนไลน์กันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลปลดการล็อกดาวน์ และผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันมากขึ้น อัตราการสั่งของทางออนไลน์ก็ลดลง และเมื่อมีการปะทุขึ้นของสงครามรัสเซียยูเครนที่ทำให้ราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบอื่นๆ สูงขึ้น ธุรกิจโลจิสติกส์ก็เจอศึกสองทางจากทั้งดีมานด์ที่ลดลง และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ในปัจจุบัน ตัวอย่างของธุรกิจโลจิสติกส์ที่กำลังได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงก็คือ Kerry Express ที่ในปัจจุบันกำลังประสบภาวะขาดทุนหนักติตด่อกันถึง 5 ไตรมาส ทำให้ปี 65 Kerry พลิกกลับมาขาดทุนเป็นปีแรกหลังจากทำกำไรมาตลอด
โดยจากเอกสารที่ Kerry ยื่นให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2565 Kerry ทำรายได้ไปทั้งหมด 17,003 ล้านบาท มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด 19,832.8 ล้านบาท ทำให้ Kerry ขาดทุนสุทธิ 2829.8 บาท พลิกกลับมาขาดทุนเป็นครั้งแรกจากผลการดำเนินการปี 2562-2564 ที่ได้กำไร 1,328.55 ล้านบาท 1,405.03 ล้านบาท และ 46.92 ล้านบาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในรายไตรมาส Kerry เริ่มขาดทุนสะสมตั้งแต่ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 โดยผลประกอบการ 5 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสดังกล่าวจนถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เป็นดังนี้
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2564 Kerry ก็เริ่มประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจมาตลอด ก่อนมาเจอความท้าทายจากปัจจัยสำคัญต่างๆ มากมายในปี 2565 เช่น สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งก่อให้เกิดการปรับตัวเพิ่มขึ้นของต้นทุนการดำเนินงานขององค์กรต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนค่าน้ำมันและต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนทั่วโลกลดลง
โดยในปี 2565 Kerry มีต้นทุนการขายและการให้บริการจำนวน 18,685.1 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.9% จากปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลในประเทศถึง 22.5% ในปีที่ผ่านมา รวมไปถึงการปรับตัวขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศที่ทำให้ Kerry มีค่าใช้จ่ายด้านแรงงานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 Kerry ได้ประกาศใช้แผนเชิงรุก ด้วยแนวคิดแบบ LEAN โปรแกรมเพื่อเร่งพัฒนาประสิทธิภาพด้านการปฏิบัติงานให้ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้านและปรับลดค่าใช้จ่าย แผนการดังกล่าวประกอบด้วย
1) การลดค่าใช้จ่ายและทรัพยากรส่วนเกินเชิงรุก
2) การปรับโครงสร้างของพนักงานในองค์กร
3) การปิดสาขา จุดให้บริการ และศูนย์กระจายพัสดุที่มีต้นทุนสูงและประสิทธิภาพต่ำ
4) การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (one-off expense) จำนวนรวมทั้งสิ้น 384.2 ล้านบาทในปี 2565 อันรวมถึงค่าชดเชยพนักงานและค่าใช้จ่ายในการปิดสาขาและศูนย์บริการต่างๆ