เมื่อไม่กี่วันมานี้ นายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชา มีท่าทีที่แข็งกร้าว ประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติจากไทยทั้งหมด แถมยังอ้างว่าประเทศของตน สามารถหาแหล่งน้ำมันที่อื่นมาทดแทนได้ เพียงพอกับความต้องการของประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องสนไทยอีกต่อไป
ฟังดูแล้วทำให้คนไทยสบายใจไม่น้อย เพราะจะทำให้ไทยเรา เหลือน้ำมันในสต็อกไว้ใช้อีกเพียบ เพื่อตุนไว้รับความตรึงเครียดสถานการณ์ตะวันออกกลาง ที่นี่เรามาดูตัวเลขส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปยังกัมพูชากันก่อนว่า ปี ๆ หนึ่ง ไทยส่งขายให้กัมพูชาไปเท่าไหร่
ข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงาน เผยตัวเลข ตั้งแต่ ม.ค. - ธ.ค. ปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ไปให้กัมพูชา 2,288 ล้านลิตร เฉลี่ยตกวันละ 6 ล้านลิตรเศษ ๆ ทำรายได้เข้าไทย 48,000 ล้านบาท คิดเป็น 21.1% ของการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด ซึ่งต้องบอกก่อนว่ากัมพูชาเองก็เป็นตลาดหลักในแถบเพื่อนบ้านที่เราขายน้ำมันให้ และในทางกลับกันไทยเราก็เป็นประเทศอันดับ 1 ที่ขายน้ำมันให้กัมพูชาเช่นเดียวกัน เพราะกัมพูชาผลิตน้ำมันใช้เองในประเทศไม่ได้
ส่วนผู้ที่กำหนดกลไกราคาน้ำมันปรับขึ้นลง ก็คือรัฐบาลกัมพูชาที่จะปรับทุก ๆ 10 วัน ซึ่งที่ผ่านมาราคาน้ำมันเบนซินบ้านเขาขายแพงกว่าบ้านเราตกลิตรละไม่กี่บาท ส่วนราคาน้ำมันดีเซลนั้นไม่ต่างกันมาก แต่หลังจากกัมพูชาใจตัดสินใจไม่รับซื้อน้ำมันจากไทย ก็ทำให้ราคาหน้าปั๊มที่บ้านเขาขยับขึ้นรัว ๆ และบางปั๊มน้ำมันไม่พอขาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ต้องลอบเข้ามาหาซื้อชายแดนไทย
คำถามต่อมาก็คือ ถ้ากัมพูชาไม่เอาน้ำมันจากไทยจะไปเจรจาหาซื้อจากที่ไหน คำตอบคือยังไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ ประเทศที่ส่งน้ำมันให้กัมพูชา รองจากไทย ก็คือ เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่มันก็ไม่ง่ายเสมอไป ใช่ว่าจะขอซื้อวันนี้ แล้วพรุ่งนี้เขาจะเปิดวาล์วส่งน้ำมันมาให้เลย ซึ่งกัมพูชาก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยง เรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อันดับแรกเลยคือค่าขนส่งน้ำมัน เพราะประเทศเหล่านั้นระยะทางไกลกว่าไทย และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ในการเร่งรัดจัดหาน้ำมันที่กะทันหัน
คำถามต่อไปก็คือ จำเป็นด้วยหรือที่รัฐบาลกัมพูชาต้องมานั่งแคร์เรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อันนี้ผู้อ่านลองไปคิดดูเอาเอง จากข้อมูล ไม่ว่ากัมพูชาจะติดต่อขอซื้อน้ำมันจากประเทศไหนก็ตาม ต้องผ่านบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ก็คือ "บ. Kampuchea Tela" ที่มีสาขามากถึง 2,000 แห่งด้วยกัน เหล่านี้ยังไม่นับรวมกับธุรกิจอื่น ๆ ในเครือ
หากเราเจาะลึกไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้นแล้วล่ะก็ ล้วนแล้วแต่เป็นคนในเครือข่ายของสมเด็จฮุน เซน แทบทั้งสิ้น อย่าง "บุน รานี" ภรรยาของสมเด็จฮุน เซน ถือหุ้นในบริษัทนี้ 22% "ฮุน มานา" ลูกสาวคนโตของสมเด็จฮุน ถือหุ้นอีก 10% นี่ยังไม่รวมผู้ถือหุ้นอื่น ๆ ที่ถูกมองว่าเป็น "นอมินี" ให้สมเด็จฮุน เซน อีกนับไม่รู้กี่หุ้น
ประเด็นที่น่าจับตามองต่อไปก็คือ หากรัฐบาลกัมพูชายอมให้บริษัทค้าน้ำมันในประเทศ เป็นผู้กำหนดราคาขายปลีกเอง เพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจริง ซึ่งนั่นหมายถึง การผลักภาระให้ประชาชนในประเทศต้องควักเงินเพิ่มหรือไม่ แล้วแบบนี้ใครกันที่ได้ "กำไร" ไปเต็ม ๆ
Advertisement