ทนายชี้ ลุงแท็กซี่เก็บทอง 49 บาทแล้วไม่คืนเอาไปขายต่อ มีความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์สินหาย ยอมความไม่ได้
จากกรณี นางไพรินทร์ แก้วเพ็ชร อายุ 58 ปี ลูกจ้างร้านทอง เดินทางเข้ามาแจ้งความ ที่สน.บางยี่ขัน ว่าได้ ทำทองหล่นหาย บริเวณสะพานลอย ตรงข้ามโลตัสปิ่นเกล้า น้ำหนัก 40 บาท และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อหาทองคำที่หล่นหายไป เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันที่ 27 พ.ค. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว ลุงสง่า คนขับรถแท็กซี่สีส้มแดง ที่ปรากฏภาพกล้องวงจรปิดว่าได้มีการลงไปหยิบกระเป๋าที่ตกอยู่กลางถนนบรมราชชนนีขาออก เมื่อวันที่ 22 พ.ค. มาสอบปากคำ
ก่อนจะยอมรับว่าได้นำทอง 2 บาท ไปขายให้กับร้านทองแห่งหนึ่ง ได้เงินมาจำนวน 60,000 บาท ซึ่งเงินดังกล่าวยังไม่ได้นำมาใช้จ่าย โดยสาเหตุที่นำทองไปขาย อ้างว่าเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าทองที่เก็บได้เป็นของจริงหรือไม่ หลังการสอบสวนและจำนนต่อหลักฐาน ลุงสง่า บอกว่า อยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้หลายคนได้รับความเดือดร้อน ยืนยันว่าตนเองไม่มีเจตนาที่จะลักทรัพย์ แต่ไม่มีทีวีดู ไม่มีวิทยุฟัง จึงไม่รับรู้ข่าวสาร จากนี้พร้อมรับโทษ
ล่าสุดทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจทนายคลายทุกข์ ระบุข้อความว่า ลุงแท็กซี่เก็บทอง 49 บาทแล้วไม่คืนเอาไปขายต่อมีความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์สินหาย ยอมความไม่ได้
#ข้อกฎหมายเกี่ยวกับกรณีลักทรัพย์กับยักยอกทรัพย์สินหาย #คดีลุงแท็กซี่เก็บทอง 49 บาทแล้วไม่เอามาคืน
ทนายคลายทุกข์ ขอนำหลักกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องลักทรัพย์และยักยอกทรัพย์สินหาย ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้ามีคนทำของตกหายและเจ้าของรู้ว่าทรัพย์ของตนหายและอยู่ระหว่างกำลังติดตามหาทรัพย์อยู่ถือว่าทรัพย์นั้นยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าของ ยังไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายผู้ที่เก็บได้และเอาไปโดยรู้อยู่แล้วว่าในพฤติการณ์ดังกล่าวเจ้าของทรัพย์สินนั้นกำลังติดตามเอาทรัพย์นั้นอยู่ การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ถ้าผู้กระทำความผิดไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย ความผิดฐานลักทรัพย์ยอมความไม่ได้ ความผิดฐานยักยอกยอมความได้
อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2769/2534 และฎีกาที่ 1363/2503 ประชุมใหญ่และฎีกาที่ 2402/2529
Advertisement