
วันที่ 22 ธ.ค. 68 พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์กำลังพล สังกัดกองร้อยทหารช่าง หน่วยเฉพาะกิจ นาวิกโยธิน กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี และตราดเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่บ้านสามหลัง ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 68
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดพันธกรณี ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยหลังจากกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดได้เข้าควบคุมและตรวจสอบพื้นที่ บ้านหนองรี และบ้านท่าเส้น จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยเข้ายึดครอ งและใช้เป็นฐานที่มั่นทางทหาร ได้ตรวจพบวัตถุพยานจำนวนมากที่ ไม่อาจปฏิเสธได้ อันแสดงถึงการวางแผนและการกระทำโดยเจตนาในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและระเบิดแสวงเครื่อง ได้แก่ การตรวจพบแผนผังแสดงตำแหน่งการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดดัดแปลง ในพื้นที่บ้านหนองรี ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อประสงค์ต่อชีวิตทหารไทย
พร้อมทั้งตรวจพบ คลังอาวุธและทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบดัดแปลงจำนวนมาก ในพื้นที่บ้านท่าเส้น (คาสิโนทมอดา) ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการที่ฝ่ายทหารกัมพูชาได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ โดยมีครอบครองและการใช้อาวุธต้องห้ามดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม การกระทำดังกล่าวส่งผลให้กำลังพลทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นรายที่ 8 เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และคุกคามต่อชีวิตมนุษย์โดยไม่เลือกเป้าหมาย ทั้งต่อทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอยืนยันว่า การใช้ การวาง และการคงไว้ซึ่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในลักษณะดังกล่าวของกัมพูชา เป็นการฝ่าฝืนและละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน และเป็นพฤติการณ์ที่ไม่อาจยอมรับได้ในประชาคม ระหว่างประเทศ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการทุกกรอบการประชุม โดยเฉพาะรวมถึงการแจ้งต่อประชาคมระหว่างประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รับทราบถึงการละเมิดอย่างต่อเนื่อง แสดงออกถึงความไม่จริงใจร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสอง และเป็นอุปสรรคสำคัญการนำไปสู่การสร้างสันติภาพในภูมิภาค รวมทั้งเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อทุกประเด็นที่กัมพูชาเคยให้คำมั่นต่อประชาคมโลกในทุกกรอบเวทีประชุมต่างๆ ที่ผ่านมา
Advertisement