
วันนี้ (10 ธันวาคม 2568) นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ กมธ. วิสามัญศึกษา MOU ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าไทยมีความได้เปรียบในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งประเทศไทยมีขีดความสามารถทางการทหารสูงกว่าอยู่แล้ว ในเรื่องอาวุธและความพร้อม เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องไปคิดว่ากัมพูชาเขาจะได้เปรียบในเชิงการทหาร เพราะฉะนั้นถ้าเราได้เปรียบในเชิงการทหารกว่ากัมพูชา เราควรไปใส่ใจกับความเป็นไปได้ในการเสียเปรียบในด้านอื่น เช่น ในเรื่องของความชอบธรรม ในเรื่องของการใช้กลไกทางการทูต เพราะฉะนั้นประเทศไทยมีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง มีสิทธิที่จะใช้สิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศในการที่จะตอบโต้และป้องกันไม่ให้ถูกรุกรานเพิ่มเติม อันนี้เป็นสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากเราไปทําเกิน เราก็อาจจะถูกทําให้เสียเปรียบในเชิงกลไกทางกฎหมายได้เหมือนกัน เราก็อาจจะถูกทำให้เสียเปรียบในเชิงกลไกทางกฎหมายได้เหมือนกัน เช่น ประเทศกัมพูชาอาจจะบอกว่า นี่คุณไม่ได้ปกป้องตัวเองแล้ว นี่คุณกำลังจะพยายามทำให้เขาพินาศไปเลย เพื่อไม่ให้เขามาโจมตีเพิ่ม ถ้าเป็นเช่นนั้น ในทางกฎหมาย
กัมพูชาก็มีช่องทางที่จะเอาคืนเหมือนกัน เขาสู้เราในทางทหารไม่ได้แต่เขาอาจจะบอก ประเทศมหาอำนาจเข้ามาเลยเนี่ยตอนนี้เขารุกรานเราเกินขอบเขตทางกฎหมายแล้ว เพราะฉะนั้นข้อเสนอในทางวิชาการในทางแบบกฎหมายระหว่างประเทศก็คือ เราไม่ต้องไปบอกว่าเราจะยกเลิกการเจรจายกเลิกข้อตกลงหยุดยิง เราพูดไปตามหลักกฎหมายเลยว่า ถ้าเราถูกรุกราน เรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งนี่เป็นหลักสากลทุกประเทศไม่มีใครยอมมาถูกยิงใส่ แล้วก็ไม่ยิงตอบโต้กลับ แต่ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบที่ว่าเมื่อเราตอบโต้ตามหลักบทบาทในประเทศแล้ว ก็ควรจะกลับมาเข้าสู่กระบวนการหยุดยิง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้านะครับ คือมันเป็นอย่างนี้แหละในกระบวนในระบบของ โลกปัจจุบันยิงแล้ว พอยิงกันได้ถึงจุดหนึ่ง ก็หยุดยิง พอหยุดยิงสักพักก็ยิงกันอีก เพราะฉะนั้นถามว่าทำไมเราถึงมีสิ่งที่เราเรียกว่าเอ็มโอยู ทำไมเราถึงมีสิ่งที่เรียกว่าคณะกรรมาธิการร่วม ทำไมเราถึงมีสิ่งที่เรียกว่าการประชุมทวิภาคีก็เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องกลับไปยิงแล้วก็หยุดยิงแล้วก็ยิงแล้วก็หยุดยิง แทนที่จะยิงและหยุดยิงก็คือมาเถียงกันในห้องแบบมีอารยะ ทีนี้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ได้อยู่ดีๆ มันเกิดขึ้นวันนี้
แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เรายิงกันมาแบบนี้เป็น 10-20 ปี ถ้าทุกท่านจำกันได้เนี่ย 20 ปีที่แล้ว 10 ปีที่แล้วตอนที่มีปัญหา สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จบไป พอมาเป็นรัฐบาลสมัยคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้มีการยิงปะทะอะไรกันอย่างนี้ เมื่อถามว่าทำไมมันเกิดการยิงกันในบางรัฐบาล ทำไมมันไม่ยิงกันในบางรัฐบาล ทั้งๆ ที่พื้นที่ก็พื้นที่เดิม เส้นเขตแดนคุณก็เถียงกันเรื่องเดิมนั่นแหละ เพราะฉะนั้นถ้าพูดกันตรงๆเนี่ย มันไม่ใช่แผ่นดินไหวและอยู่ดีเกินเส้นเขตแดนใหม่ขึ้นมา มันเกิดจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากกว่าว่าทำไมทางกัมพูชาหรือทางไทยถึงมีความกระหองระแหงกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เนี่ยจะแก้ปัญหาโดยการบอกว่าต้องรบกันอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ คงต้องใช้กลไกในทางการเมือง ตนคิดว่าตอนนี้ทุกคนก็เป็นกำลังใจให้กับทหารที่ไปเสียสละอยู่แต่ชายแดน แล้วก็ส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แต่อย่าลืมว่าตอนนี้ประเทศไทย ได้เปรียบในทางการทหารแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเปรียบในเรื่องอื่นที่ไม่จำเป็น สิ่งที่เราไม่ควรจะเสียเปรียบเขาก็เลยก็คือความชอบธรรมในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เราตอบโต้เขาได้ เราป้องกันตัวเองได้ แต่อย่าไปทำจนเขาสบช่องว่างไปดึงฝ่ายที่ 3 เข้ามา หรือบอกอย่างนี้ต้องไปศาลโลกอีกรอบหนึ่งแล้ว ซึ่งมันก็จะทำให้กลไกในการแก้ไขปัญหามันวุ่นวายมากขึ้น
เมื่อถามว่าท่าทีของสหรัฐและจีนที่ออกมาเคลื่อนไหว แล้วก็ได้มีแสดงความกังวลอยากให้ทั้ง 2 ได้มีการเจรจา ซึ่งการออกมาของ 2 ฝ่ายมีสัญญาณอะไรหรือไม่ นายวีรพัฒน์ ระบุว่า เวลาประเทศมหาอำนาจเขามองประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาทะเลาะกัน เขาอาจจะไม่ได้มองเหมือนเป็นเรื่อง อิรัก-อัฟกานิสถาน ไม่ได้มองเป็นเรื่องของรัสเซีย-ยูเครน เราไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเขาขนาดนั้น แต่เขาเองก็มีนโยบายที่อยากจะแสดงความเป็นผู้มีอิทธิพลในทางการเมืองประเทศ เช่น ท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ถามว่าประธานาธิบดีคนก่อนๆ ที่เวลาไทย-กัมพูชามีเหตุการณ์ยิงกันเนี่ย สหรัฐเคยประกาศหรือไม่ว่าจะโทรมาหาก็ไม่มี ส่วนตัวมองว่าเพราะประธานาธิบดีทรัมป์มีฐานเสียงที่ต้องการแสดงถึงอำนาจความเป็นผู้นำของเขา ในเมื่ออำนาจของเขาในประเทศเขาถูกโจมตี เขาก็สามารถที่จะมีอำนาจในความเป็นผู้นำของโลกในการมาแสดงท่าทีในอิสราเอล ปาเลสไตน์ หรือกัมพูชา เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังหูไว้หู ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะเข้ามาเป็นผู้แก้ปัญหาให้เรา
แต่เขาต้องการจะทำให้โลกเห็นว่าเขาเป็นผู้นำ ในเมื่อเขาต้องการจะเป็นผู้นำ เราก็ต้องระมัดระวังว่า อันนี้มันจะไปเข้าทางของทางกัมพูชาหรือไม่ ถ้าเราตอบโต้แล้วเราตอบโต้ถูกต้องตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศหลักกฎหมายมนุษยธรรม เราก็ทำไปตามสิ่งที่เรามีตามกฎหมาย แต่ถ้าเกิดเราทำหรือเราไปทำเกิน แล้วสบช่องให้ ให้เขาดึงสหรัฐอเมริกาดึงจีนเข้ามา มันก็จะทำให้การเจรจาที่ไทยได้เปรียบอยู่แล้ว อาจจะเสียเปรียบมากขึ้น สิ่งสำคัญตอนนี้คือเราต้องเข้าใจว่าอยู่ดีๆ เนี่ย มันไม่ใช่ว่าทุกรัฐบาลทุกสมัยจะมีการทะเลาะกัน เราต้องตั้งคำถามกลับไปที่รัฐบาลไทยด้วยว่าวันนี้มันมีปัจจัยเหตุการณ์อะไรหรือไม่ เช่น เราไปเน้นปราบสแกมเมอร์เอา ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่เราควรจะทำ แต่รัฐบาลต้องชี้แจงออกมาว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดการปะทะเกิดขึ้นมา และอะไรคือสิ่งรัฐบาลในทางการเมืองทำได้มากกว่านี้ เพื่อจะป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย คือการที่รัฐบาลบอกเราลุยอยู่แล้ว เรายิงกลับอยู่แล้วเนี่ย อันนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลย ท่านก็สั่งให้แม่ทัพเขาทำหน้าที่ของเขาไป
แต่สิ่งที่ยากกว่านั้น ก็คือการพยายามอธิบายให้สังคมไทยเข้าใจว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเกิดเพราะอะไร แล้วเราจะป้องกันมันเกิดขึ้นอย่างไร ตนเชื่อว่าคนไทยไม่ได้ต้องการจะให้คนกัมพูชาตายพอๆ กับที่คนกัมพูชาก็ไม่ต้องการให้เราตาย ตนคิดว่าเรา 2 คนเราก็ใช้ชีวิตของเราในประเทศเพื่อนบ้านของเราไป แต่ผู้นำทางการเมืองคือคนที่มีบทบาทสำคัญมาก แล้วในระบอบสังคมประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมืองจะบอกว่า เราสู้ไม่ถอย เราลุย แต่ท่านไม่ตอบคำถามว่าเอาแล้วอยู่ดีๆ ที่มันพักรบกันไปหยุดยิงกันไปแล้ว มันเกิดเหตุขึ้นมาเนี่ย มันเกิดจากอะไร อันนี้ท่านต้องตอบคำถาม เพราะว่าประชาชนก็มีสิทธิ์จะทราบ มีสิทธิ์จะเข้าใจในความเป็นไปที่เกิดขึ้นอยู่
เมื่อถามถึงท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศที่ได้ชี้แจงกับทูตต่างชาติ ในขณะที่สื่อหลักรายงานเหตุปะทะของ 2 ฝ่าย โดยมีการระบุว่าต่างฝ่ายอ้างว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อนนั้น เรื่องนี้ นายวีรพัฒน์ให้ความเห็นว่า คือในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนก็จะชี้นิ้วใส่กัน แต่ต้องทำความเข้าใจว่า ไทยเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพและขีดความสามารถในทางการทหารสูงกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อมีการปะทะกันเกิดขึ้น ความเสียหายของกัมพูชาย่อมมากกว่า เมื่อความเสียหายกัมพูชามากกว่า บางคนก็ไปเข้าใจผิดได้ว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มหรือไม่ จริงๆ
แล้วใครเป็นฝ่ายเริ่ม มันต้องเอาหลักฐานมากางกันถูกไหม แต่เมื่อมีการสู้รบกันแล้ว สิ่งสำคัญคือไม่ใช่ว่าคุณจะไปทำให้อีกฝ่าย วินาศสันตะโร รากราบคาบบอกว่าชาตินี้ต้องไม่มีกองทัพเหลืออีกแล้ว ถ้าทำแบบนั้น คือเรากำลังไปเปิดช่องใหม่ ไปเปิดช่องกัมพูชาบอกว่านี่ไม่ใช่การปกป้องตัวเองและนี่ไม่ใช่การตอบโต้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องของ Self Defence มันกลายเป็นเรื่องของการรุกราน และเป็นการของการใช้โอกาสในทางการทหาร ซึ่ง 2 เรื่องนี้ต้องระวัง
ตนเชื่อว่าตอนนี้เราได้เปรียบในทางการทหาร แต่อย่าไปเสียเปรียบในเชิงการทูต ส่วนตัวมองว่ากระทรวงการต่างประเทศข้าราชการมืออาชีพของกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงตามหลักการอยู่แล้ว / สิ่งที่ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะท่านผู้นำอย่างท่านนายกรัฐมนตรีอนุทิน ต้องระวังเป็นพิเศษก็คือ อย่าไปสื่อให้เข้าใจว่าตอนนี้เรามีแค่ออปชั่นทางการทหารออปชั่นเดียว ออปชั่นทางการทูต ออฟชั่นในการเจรจามันไม่ได้หายไปไหน แล้วมันก็ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเจรจาอย่างเดียว แล้วก็รบไม่ได้ไม่ใช่อย่างนั้น คุณมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองตามกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ แต่อย่าไปทอดทิ้งหรืออย่าไปยกเลิกกลไกอื่นๆ ซึ่งมันไม่ได้หายไปไหน วันนี้ยิงกัน เดี๋ยวอีก 2-3 วันก็หยุดยิงได้ คำถามคือหยุดยิงแล้วเนี่ย รัฐบาลต้องตอบสังคมให้ได้ว่าที่ครั้งที่แล้วก็หยุดยิงกันแล้ว ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศต่อโลกว่าหยุดยิงแล้ว แล้วก็หยุดยิงกันมาสักพัก
อะไรคือปัจจัยที่รัฐบาลชุดนี้ อธิบายได้ไหมว่ามันทำให้เกิดการปะทะกันเกิดขึ้นมา แล้วจะทำยังไงไม่ให้ปัจจัยนี้มันเกิดขึ้นมาอีก เช่น ถ้าปัจจัยนี้มันเกิดเกี่ยวกับเรื่องของการไปจัดการเรื่องสแกมเมอร์ ท่านก็ต้องบอก ว่านี่คือปัจจัย พี่น้องประชาชนชาวไทยจะได้เข้าใจ และก็ต้องดึงสังคมนานาชาติ ซึ่งก็มีเครื่องมือในการจัดการสแกมเมอร์เหมือนกัน สมมุติจีนอยากจะช่วย จีนก็ช่วยอยู่แล้ว เพราะเขาต้องการจะปราบทุนสีเทา
ซึ่งไปทำให้คนจีนเสียหาย เช่นเดียวสหรัฐอเมริกาก็มีระบบของเทคโนโลยีการจัดการกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดประเทศไทยจะเล่นเกมให้เป็น อย่าไปพูดแต่เรื่องการทหารอย่างเดียว การทหารสำคัญ แต่การปราบสแกมเมอร์โดยการดึงพันธมิตรที่เป็นมหาอำนาจของโลกเข้ามาช่วยอยู่ฝั่งเรา แล้วก็ปราบสแกมเมอร์ ซึ่งอยู่ฝั่งที่ไม่ใช่ฝั่งเรา อันนี้น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ แต่ส่วนตัวยังไม่เห็นการแสดงท่าทีที่เฉียบแหลมของรัฐบาลไทยในเวลานี้ ยกเว้นไปจากการเน้นเรื่องการทหาร จึงอยากจะให้เฉียบแหลมเรื่องการทหาร การทูต การปราบสแกมเมอร์ และอยากให้รัฐบาลชี้แจงให้ประชาชนรับทราบมากขึ้น
Advertisement