
ตามที่ปรากฏรายงานข่าวเกี่ยวกับการแสดงความเห็นของภาคเอกชนสหรัฐฯ ในกัมพูชาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ขอชี้แจง ดังนี้
1. ประเทศไทยปฏิบัติตามข้อตกลงทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด รวมถึงข้อตกลงหยุดยิงและแถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration : JD) ไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่กัมพูชาเป็นฝ่ายไม่เคารพสัญญา โดยละเมิด JD ด้วยการลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตแดนไทยหลังจากการลงนาม JD อีกทั้งก่อนหน้านี้ ได้ลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่หลายครั้ง ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพถาวรรวมทั้งสิ้น 7 คน
2. ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องระงับการปฏิบัติตาม JD เนื่องจากการละเมิด JD และความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะในการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาก็ยังคงบ่ายเบี่ยงที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยในเรื่องนี้ รวมทั้งยังคงเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงควรกดดันกัมพูชาให้ปฏิบัติตาม JD อย่างจริงจังและจริงใจมากกว่า
3. ผู้นำไทยได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือกับผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซียแล้ว ในฐานะสักขีพยานต่อ JD ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความเข้าใจถึงข้อห่วงกังวลด้านความมั่นคงของไทยและความปลอดภัยของประชาชน และความจำเป็นที่ฝ่ายไทยต้องระงับการปฏิบัติตาม JD
4. สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นประเด็นที่ไทยและกัมพูชาต้องร่วมกันแก้ไขภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยยินดีหากภาคส่วนต่าง ๆ จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ โดยเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อย่างไรก็ดี ขอตั้งข้อสงสัยถึงเจตนาที่แท้จริงของการแสดงความเห็นของภาคเอกชนสหรัฐฯ ในกัมพูชาดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและขาดความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ยังเสี่ยงที่จะบั่นทอนการแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่สันติภาพระหว่างสองประเทศ
5. ในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีทหารกัมพูชาที่อยู่ในการควบคุมตัวโดยฝ่ายไทย ขอเรียนว่า การค้นพบทุ่นระเบิดใหม่ในเขตแดนไทยหลังจากการลงนาม JD สะท้อนว่า กัมพูชายังคงเป็นปรปักษ์กับไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญตามหลักสากล รวมถึงอนุสัญญาเจนีวา ในการพิจารณาการปล่อยตัว ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงติดต่อ ประสานงาน และอำนวยความสะดวกให้ทีมงานของ ICRC เข้าเยี่ยมทหารกัมพูชาดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความโปร่งใสของฝ่ายไทยในการดูแลสวัสดิภาพของบุคคลกลุ่มนี้ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศทุกประการ
Advertisement