
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานวันนี้เกิดขึ้นประจวบเหมาะกับเวลาของโลกที่กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งท่านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองรวมไปถึงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นใจกลางของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ โจทย์ที่สำคัญในวันนี้ของเราคือเรากำลังเผชิญอะไรและประเทศไทยควรปรับเปลี่ยนและไปต่ออย่างไรบ้างเพื่อก้าวเข้าสู่โลกที่มีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีการแข่งขันทั้งทางเทคโนโลยี และใช้คำว่าภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายที่แต่ละประเทศได้กำหนดและต้องสอดคล้องกับกฎกติกาใหม่ของโลก ซึ่งตัวที่เป็นวัดสำคัญการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติหรือที่เรียกว่า sustainable development goal
โดย ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตนแทบจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเพราะต้องเดินทางไปร่วมประชุมทั้งอาเซียนและเอเปก และเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาในโอกาสที่หัวหน้ารัฐบาลเดินทางไปได้ก็ประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมาย ซึ่งคำว่าปรับเปลี่ยนและไปต่อเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นครั้งที่ดีมากเพราะการมีแนวคิดปรับเปลี่ยนและไปต่อในการศึกษาด้าน Engineering ที่ตนได้เรียนมาคือไดนามิค เพราะเราอยู่เฉยไม่ได้เพราะหากมัวเฉยฟันเฟืองต่างๆถ้าติดขัดไปหมด แต่หากมีการปรับเปลี่ยนและเดินไปเรื่อยๆ ทุกวันจะทำให้เราไม่มีวันหยุดนิ่ง และไปในจังหวะสถานการณ์ต่างๆของโลกที่ไม่ได้อยู่นิ่งเหมือนกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่าวันนี้โจทย์ทั้งหลายที่ตนได้ไปพบกับผู้นำหลายประเทศ ในเวลาที่เดินทางไปประชุมตนก็จะขอปรับเวลาที่มีช่องว่างไปพบกับหลายคน ด้วยซึ่งตนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องปรับนิสัยด้วย ไม่รอให้ใครมาพบแม้จะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเล็กกว่า ตนก็จะขอเวลาเพื่อไปพบและพูดคุยเพื่อสานต่อในเรื่องที่พูดคุยตกลงค้างคาไว้เพื่อเดินหน้าสองฝ่าย
พร้อมกล่าวถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนมีคนแนะนำว่าท่านเป็นคนเก่งเรื่องการต่างประเทศตนได้ทำงานร่วมกันในต่างประเทศ2-3 ครั้ง ท่านเห็นว่าเราไปต่างประเทศได้พบกับผู้นำหลายประเทศมาก รวมถึงภาคเศรษฐกิจษฐกิจซึ่งทำให้เห็นว่าเกิดประโยชน์ไม่มาก ก็น้อยสิ่งที่ท่านสีหศักดิ์ได้พูดกับตนคือนายสีหศักดิ์ดีใจที่ได้ทำงานด้วยกัน รู้สึกว่าประเทศไทยได้กลับมาในจอเรด้า ซึ่งเมื่อตนได้ฟังคำนี้รู้สึกเหมือนถูกทุบไปกลางหน้าอก เพราะขนาดท่านทูตศรีศักดิ์ ยังพูดคำนี้มาเพราะที่ผ่านมารู้สึกหายไปจริงๆเพราะไม่มีใครเข้ามาสนใจทุกอย่างเป็นไปตามมารยาทกลไกปกติ แต่เมื่อพวกเราเข้ามาเหมือนเป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีศรีศักดิ์ยังรู้สึกแปลกใจที่ต้องรู้สึกสนิทสนมนั้น เพราะตนเป็นคนไม่ชอบกลับบ้าน สถานทูตในประเทศไทยใครเชิญตนไปงานวันชาติไม่ว่าใดประเทศเล็กมหาอำนาจใครเชิญตนไปหมด อย่างน้อยไปดูวิดีโอว่าประเทศเขามีอะไรและจะได้กินอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ฟรีไปหนึ่งมื้อ ได้พบกับข้าราชการไทยนักธุรกิจทูตประเทศอื่นๆ ทำให้ความร่วมมือเกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้อนไปในช่วงที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีคนติดต่อมาช่วงสถานการณ์โควิดเพื่อเสนอ อุปกรณ์ต่างๆเพื่อเข้ามาช่วยประเทศไทย เมื่อเราได้รับการช่วยเหลือเราก็ช่วยเหลือเขาไปเช่นกันทุกวันนี้ต้องการช่วยเหลือกันและกันมองข้างเดียวไม่ดังสุภาษิตไทยเป็นแบบนี้เสมอแต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้คือทรัพยากรของโลกลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ทรัพยากรของโลกเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ คนเกิดน้อยคนตายน้อยทำให้มีผู้สูงอายุจำนวนมาก จึงต้องหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี และมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาแทนคน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และคำว่าภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นคำสำคัญที่เดินเข้ามาเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนของโลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังใช้กรอบต่างๆในการดำเนินก้าวต่อ ตามที่กรอบของโลกทั้งโลกกำหนดขึ้นมาเราไม่ได้ตกขบวน ทั้งเรื่อง ความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD เพื่อให้รู้ว่าเรามีธรรมาภิบาล เรื่อง BCG การอนุมัติให้มีไฟฟ้า ที่เป็นโซล่าเพิ่มมากขึ้น , รัฐศาสตร์ของโลกบางคนได้ยินและกังวลถึงขั้นว่าแบบนี้จะวุ่นวายหรือไม่จะเกิดสงครามหรือไม่ ตนยังเห็นว่าณวันนี้ทุกประเทศไม่มีใครอยากเดินถอยหลังไปสู่ยุคเดิมๆ ที่ใช้อาวุธมาสู้รบกันกับประเทศเพื่อนบ้าน หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ต้องใช้การเจรจาทางการทูตเพิ่มมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่าหากข้ามเส้นมาก็น่าดูเหมือนกัน
ตนถึงบอกมาตลอดว่า “แม้หวังตั้งสงบ แต่ส่งเสียงรบให้พร้อมสรรพ ” นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยกำลังดำเนินอยู่ดังนั้นขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่า ประเทศของเราจะไม่สูญเสียอธิปไตย เสียเปรียบหรือรบแพ้ยืนยันว่าไม่มี ตนถามพี่ๆ ในกองทัพทุกคนว่ามีความมั่นใจหรือไม่ทุกคนบอกตรงกันว่าอย่าให้ไปถึงจุดนั้นเลย แต่หากจำเป็นก็พร้อม เมื่อตนได้ยินคำนี้ก็รู้แล้วว่าจะไปต่ออย่างไรในการที่จะไปคุยกับประเทศคู่กรณีและประเทศที่พยายามจะจับให้ทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา เวลาโกรธกับใครใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีกว่าจะดีกันได้ต้องใช้เวลาตั้งกฎระเบียบอะไรขึ้นมาหลายอย่าง กว่าจะดีกันได้ก็ต้องให้เพื่อนคนที่3นัดเราไปกินข้าวอีกครั้ง เป็นเรื่องปกติฉันใดก็ฉันนั้น เราก็ใช้องคาพยพที่เรามีอยู่สร้างความมั่นคงแข็งแรง
“ในกรณีที่มีคนมาบอกว่าหากไม่ดีจะลงโทษแบบนั้นแบบนี้ ในการเป็นคนกลางคนไกลเกลี่ย ก็ทำหน้าที่ไปอย่ามาทำตัวเป็นคู่เจรจากับเรา มันก็อยู่ที่เราจะควบคุมตรงนี้อย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหมาย ที่หวังไว้ อาจจะมีออกนอกกรอบ บ้างแต่ต้องปรับเปลี่ยนและไปต่อ“
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำว่าภูมิรัฐศาสตร์ต้องหาจุดแข็งของเรา เพื่อให้ประเทศอื่นรู้สึกว่าอย่าสู้ประเทศไทย ซึ่งทุกครั้งที่ตนไปพูดในเวทีต่างประเทศที่ทุกคนตั้งใจฟังคือเรื่อง healt care และ medical tourism ถึงแม้ว่าประเทศอื่นจะมีตัวยาและเทคโนโลยีที่ดีกว่าแต่สิ่งที่ประเทศอื่นไม่มีเหมือนประเทศไทยคือ Care เชื่อว่าไม่ว่าใครเข้ามาเจอพยาบาลของไทย ที่ใส่ใจการบริการ ไม่มีใครสู้ได้ เพราะทุกคนโลกนี้ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนกลัวเข็มหมด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยโม้ได้ ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในกรุงเทพฯ อาจจะไปที่ภูเก็ต และสามารถไปพักฟื้นที่รีสอร์ทต่อได้ ซึ่งหากจินตนาการภาพเหล่านี้เขาไม่สามารถหาได้จากประเทศไหน นอกจากจะดูแลผู้ป่วยแล้วเรายังได้ญาติเขามาด้วย สิ่งเหล่านี้ก็ขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่ประเทศไทยขายได้ หาที่สองยังไม่ได้ อย่าว่าแต่หาคู่แข่งเลยถือว่าเป็นสิ่งเดียวของโลกใบนี้ และเรื่องนี้หุ้นไปแล้วไม่กลับ สามารถเติบโตได้ ประเทศไทยถือว่าระบบสาธารณสุขแข็งแรงที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังมีเรื่องการท่องเที่ยว และพลังงานสะอาด ที่เป็นภูมิรัฐศาสตร์ที่แข็งของไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เมื่อเราอยู่ในวงการของโลกเราก็รู้ว่าสิ่งไหนที่เราต้องไปเจรจากับเขา หรือเรียกง่ายๆ ว่าการต่อรอง เป็นทุกเวทีขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีความมั่นคงแข็งแรงอย่างไร เพราะโลกทุกวันนี้อยู่ด้วยคำว่าประสานประโยชน์ หรือคำว่าสมประโยชน์ ไม่มีคำว่า winner take all หรือ zero some game มีแต่คำว่า “win win” และโอกาสของเราคือเมื่อเราทำตัวเป็นพันธมิตรกับโลกก็ต้องเป็นพันธมิตรกับโลกทั้งใบไม่มีผูกขาดต้องเป็น เพื่อนที่มีผลประโยชน์ด้วยกัน ตรงไหนมีผลประโยชน์ก็จะจับมือร่วมกันแต่ตรงไหนไม่ลงตัวก็หาวิธี หากไม่มีวิธีก็ต้องไปหาคนที่พร้อมจะจับมือกับเราซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาไม่เคยมีทางตัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง การลงนามสำคัญในการศึกษาแรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกา มีคนพูดมากมายว่าไปเซ็นลงนามแล้ว จะทำให้ถูกบีบเรื่องภาษี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นว่าหากสหรัฐสามารถมาทำเรื่องนี้ร่วมกับไทยได้ก็จะเป็นประโยชน์ ซึ่งไทยเองก็ไม่ได้ผูกขาด คนไม่รู้เรื่องก็ไปโวยวายกันใหญ่ว่าให้สัมปทานกับอเมริกายกผลประโยชน์ให้ เพียงประเทศเดียวซึ่งไม่ใช่เลย และMOU ที่ลงนามไปสามารถฉีกเมื่อไหร่ก็ได้ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงพิธีกรรมที่อยู่ในเวทีโลกเป็นเพียงช่องหน้าต่างประตูเล็กๆ คือหากวันไหนเรื่องนี้เป็นความจำเป็นขึ้นมาอย่างน้อยก็ยังเป็นประตูที่ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถพูดคุยกันได้ โดยในข้อตกลงไม่มีระบุว่าประเทศที่เป็นคู่สัญญากับเราต้องถือแร่ธาตุเหล่านี้ก่อน หรือให้เขาดำเนินการก่อนศึกษาและให้สัมปทานในการขุดเจาะยืนยันว่าไม่มีแม้แต่นิดเดียว เรายังสามารถให้กับคนหลายคนได้แต่คนขี้โวยวายในประเทศนี้ ออกมาบอกว่าประเทศไทยเสียเปรียบ แต่ไม่ใช่เราประเทศเดียวทุกประเทศก็ร่วมลงนาม จึงขออย่าโวยวายต้องเลิกเป็นกระต่ายตื่นตูมประเทศเราต้องนิ่งให้เป็นไม่ต้องไปเต้นอยู่ตรงโน้นถือตรงนี้ทีเพราะเรายืนอยู่บนขาตัวเองได้ อย่าไปเชื่อว่าต้องเอนกับฝ่ายนั้นฝ่ายนี้จนเกินไปเพราะเดี๋ยวหากเค้าขยับตัวนิดเดียวเราก็ล้มลง ไม่ใช่เอนไปขั้วใดขั้วหนึ่งแต่ต้องเป็นขั้วที่ 3 คือ พยายามอยู่เป็นขั้วของตัวเอง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแข่งขันจากนี้ไปของประเทศไทยหากจับเรื่องพวกนี้รัฐศาสตร์ก็ต้องแข่งขันทั้งเรื่องสติปัญญาการเดินเข็มยุทธศาสตร์ให้ประเทศของเราได้ประโยชน์สูงสุดบนความเข้าใจร่วมกันว่าทุกประเทศก็คิดเช่นเดียวกันกับเราการจะอยู่กันได้ต้องประสานประโยชน์และมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราต้องกำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ให้ถูก ผลลัพธ์ที่จะได้คือความก้าวหน้าและความเจริญยั่งยืนในประเทศ
ส่วนเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ตนยืนยันมาตลอดเวลาและถือเป็นหลักปฏิบัติ คือการรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ด้านความมั่นคงเศรษฐกิจหรือทางการทูต ซึ่ง หากคันนี้อยู่ครบประเทศไทยไม่มีคำว่าเสียเปรียบหรือแพ้จะดำรงความเป็นอธิปไตย แม้แต่ตาเซนฯเดียวก็ยอมเสียให้กับประเทศใดๆ และจะไม่มีการโต้วาที แต่ต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เสีย หามาตรวัด ที่เป็นตัวกลาง ใช้เทคโนโลยีไรด้ามายอมรับร่วมกัน คำว่าไม่ยอมรับใครเดือดร้อนกว่าเพราะถ้าไม่ยอมจบก็เปิดด่านไม่ได้ ประเทศไทยขายของให้ปีละ 180,000 ล้านบาท และซื้อของเขาปีละ 30,000 ล้านบาท หากยอมก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าอย่างไรของก็ต้องขายต่อเมืองไทย หากจะยอมให้อ้อมประเทศลาวเข้าไทยอ้อมไปเวียดนามกว่าจะถึงกัมพูชาเท่ากับว่าเป็นการรังแกประชาชนของตัวเองที่ต้องซื้อของแพงมากขึ้น เราก็มีจุดยืนของเราในเรื่องนี้ก็ต้องคุยกัน เมื่อมีทหารของเราเหยียบกับระบบเราเราก็ระงับ joint decoration ทันที เพราะฉะนั้นหากเราจบกับเขาได้โดยไม่เสียประโยชน์อะไรก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ทั้งนี้ การ จะรักษาความสมดุลได้ ความยืดหยุ่นถือว่ามีความสำคัญมากเราต้องพร้อมปรับแผนตลอดเวลาและดำเนินต่อไป
วันนี้เศรษฐกิจของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในเรื่องการค้าการลงทุนกำลังเผชิญ ปัญหาด้าน ขีดความสามารถ รวมถึงโครงสร้างประชากรที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งเราก็ต้องปรับเรื่องการเกษียณอายุราชการ ที่ต้องทำเป็นขั้นบันได ให้เข้ารูปเข้ารอยไม่ต้องไปกังวล โดยรัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4 เดือนก็ต้องรู้ว่าตรงไหนที่สามารถเปลี่ยนได้และมีมติได้ภายใน 4 เดือนก็ต้องทำ เรามีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายที่รู้เรื่องกฎหมายเป็นอย่างดี หากอยู่สี่เดือนก็สามารถทำได้แต่หากอยู่ไม่ถึงก็ทิ้งเอาไว้ให้คนอื่นทำต่อได้โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆ
อย่างเรื่อง คนละครึ่งพลัส ที่คนวิจารณ์ว่า ว่าเป็นนโยบายสมัยลุงตู่ ตนก็ถามว่าทำไม เพราะลุงตู่ก็นายผม เมื่อทำมาแล้ว ก็ทำต่อ ตนไปลอกข้อสอบ และใส่คำว่าพลัสเข้าไป พร้อมระบุว่า ตั้งแต่เข้ามาการเมืองโดนด่าหมด ยกเว้นคนละครึ่งพลัส เดินไปไหนคนชมหมด ดังนั้นเราต้องเป็นคนหัวแข็งต้องยืดหยุ่น อะไรที่คิดแล้วเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ต้องทำไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ด้านเศรษฐกิจของไทยก็ต้องเดินหน้า ซึ่งตอนนี้มีความพร้อมแล้ว ทั้งด้านทรัพยากรพร้อม กฎระเบียบก็พร้อม และหากอยากให้พร้อมก็เลือกตนกลับมา เพราะตอนนี้ก็ปฏิรูปการศึกษาอยู่ปฏิรูปพลังงาน ให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในส่วนของพลังงาน ถึงแม้ว่าจะทำไม่ได้ทั้งหมดแต่ทุกอย่างในเวลาจำกัดเราก็ปูทางเอาไว้ดังนั้นขอให้ประชาชนตัดสินใจเอาเองว่าคนไหนที่มีความตั้งใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้และมีความกล้าหาญมากเพียงพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ”
รัฐบาลนี้พูดคำว่า upskill และ reskill ตลอด เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กขนาดย่อยและทุกระดับมีการยกระดับตัวเองและสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น และเศรษฐกิจเหล่านี้ก็จะเป็นโอกาสของ เพราะประเทศที่สามารถชนะในยุค ai ได้คือประเทศที่คนทางสังคมเรียนรู้และปรับตัวได้มากที่สุดซึ่งคือเป้าหมายในการสังคมของรัฐรัฐบาลชุดนี้
อย่างไรก็ตามในขณะที่กำลังรับมือกับการพัฒนาใหม่ใหม่ในเรื่องของการเพิ่มทักษะ ใหม่ใหม่ก็คือเรื่องการสร้างสังคมเพราะคนเกิดน้อยลงประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัวแล้วเพราะฉะนั้นจะต้องทำ
3 เรื่องสำคัญคือ 1.การขยายอายุเกษียณราชการให้สอดคล้องกับความสามารถ
2.การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการดูแลทั้งระยะยาวและผู้สูงอายุผู้ป่วยเรื้อรังและบริการเชิงป้องกัน ซึ่งการปรับตัวอย่างรุนแรงของระบบสาธารณสุขหากไม่ทำตายแน่นอนเพราะคนไม่ตายระบบจะตาย เพราะยาก็ดีค่ารักษาก็น้อยรวมไปถึงค่ารักษาฟรีเพราะฉะนั้นคุณไม่ตาย หากโรงพยาบาลเต็มก็เอาอยู่ที่บ้านและให้การดูแลอย่างเต็มที่เพราะฉะนั้นจึงมีความสุขอย่างมากในเรื่องการยืดอายุคน เพราะ 60 ปีเกษียณไม่ได้ ต้องทำให้ติดเตียงใกล้อายุ 80 ต้องยังทำมาหากินได้ ไม่ไม่เป็นภาระให้คนรุ่นหลัง จึงต้องทำให้เขาไม่ป่วยด้วยระบบสาธารณสุข ขอให้รู้ว่าถ้าป่วยถือรักษาได้
และสุดท้ายคือการยกระดับ ทักษะแรงงานสูงวัยวัย ซึ่งตนมองว่ามีโอกาสที่จะสามารถสร้างธุรกิจในการดูแลผู้สูงอายุของไทยและผู้สูงอายุที่มาจากต่างชาติ
“ส่วนเรื่องการเมือง ไม่ต้องไปฟัง เพราะไม่นานตนก็ยุบสภาแล้วจะคืนอำนาจให้กับประชาชน ตอนนี้ตัวเลือกไม่เยอะขอให้ดูว่า พรรคไหนที่มีการเมืองที่ดีแล้วต้องมี การปฏิบัติที่ดีด้วย และต้องดูด้วยว่ามีความรู้มากพอที่จะปฏิบัติและความกล้าพอที่จะทำหรือไม่มีความเก่งพอและบารมีที่จะแสวงหาความร่วมมือหรือไม่ซึ่งตนคิดว่าตนมีพอสมควร และเรื่องเหล่านี้ทุกคนต้องช่วยกันเพราะปีหน้าอย่างไรก็ต้องเลือกตั้งเพราะสภาพการเมืองที่ดำรงมาจนถึงจุดนี้ต้องยอมรับตรงตรงว่าไปต่อไม่ได้เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะอภิปรายไปก็แพ้ และต้นก็ยังว่า 31 มกราคมจะยุบสภาแตกหักรอไม่ไหว จะให้ยกวันที่ 12 ธันวาคมตนก็พร้อมหยุด แต่หากมีอะไรที่ทำไว้แล้วไม่เสร็จหลายอย่างก็ต้องไปเบลม (ตำหนิ) คนนั้น มาว่าตนไม่ได้ ซึ่งตนมองว่าต่อให้อภิปรายดีหรืออภิปรายหวนหรือตอบโต้ดีแค่ไหนรัฐบาลก็แพ้เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะไม่มีทางวินวิน วันนี้ตนไม่ได้ให้วินวินกับทางการเมืองแต่อยากให้วินวินกับประชาชน
เพราะตนก็เชื่อว่าพรรคของตนมีนโยบายดีๆที่จะไปว่ากันในสนามเลือกตั้ง ของใกล้ชิดกับการเมืองและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเพราะปีหน้าเป็นปีที่สำคัญหากตัดสินใจถูกประเทศไทยก็ก้าวกระโดด เร็วและรุนแรงเพราะตอนนี้เรากลับเข้ามาสู่เรด้าได้แล้ว ทุกประเทศให้ความสำคัญและให้ความสนใจ ขณะรู้ว่านายกคนนี้รู้แค่สี่เดือนยังให้เวลาพบ แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เราทำไว้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อหวังรักฐาน ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาต้องยกรากฐานตัวนี้แล้วนำไปทำต่อเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเมืองจะปากดีปากเสียอย่างไรตนเชื่อว่าส่วนลึกๆ ของทุกคนก็ต้องการทำประโยชน์ให้กับประเทศและพี่น้องประชาชนดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนยังต้องเคารพซึ่งกันและกันอยู่“
ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าคำว่าปรับเปลี่ยนและไปต่อเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนโดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง
Advertisement