
วันที่ 20 พ.ย. 68 ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) วังเดิม กทม. พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ให้สัมภาษณ์กรณี การเคลียร์ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ความรับผิดชอบของ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดว่า
เรามีพื้นที่ต้องเคลียร์ทุ่นระเบิดที่เป็น 1 ใน 5 พื้นที่ ที่กองทัพเรือต้องเคลียร์ ซึ่งมีความชัดเจนแล้วว่าฝ่ายกัมพูชานั้นไม่ได้มาเคลียร์ หรือเก็บกู้ทุ่นระเบิด เราก็ต้องเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ของเรา แต่กองทัพเรือวางแผนในการเคลียร์คือ เคลียร์จากระยะไกลไปก่อนในพื้นที่ที่อยู่ในอธิปไตยของไทยแน่นอน เนื่องจากทุ่นระเบิดเป็นอันตรายกับกำลังพลและประชาชนในพื้นที่
ส่วนประเด็นที่วานนี้ 19 พ.ย. 68 ฝ่ายกัมพูชาสร้างสถานการณ์ความรุนแรง โดยการโยนประทัดเข้ามาฝั่งไทย เพื่อให้เกิดการเข้าใจผิดว่าไทยใช้ปืนยิงเข้าไปในฝั่งกัมพูชา พล.ร.อ.ไพโรจน์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว กองทัพเรือมีนโยบายว่า เราควรต้องหาโอกาสนำ คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนฝ่ายไทย (AOT-TH) เข้าไปดูในพื้นที่ ย้ำว่า เป็นแนวนโยบายที่หน่วยเหนือกำหนดไว้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า บุคคลที่สวมหมวกสีฟ้า ไม่ใช่คณะ AOT ของฝ่ายกัมพูชา พล.ร.อ.ไพโรจน์ กล่าวว่า เรายังไม่สามารถตอบได้ เพราะโดรนที่ตรวจจับเห็นไม่ถึงใบหน้า เราเห็นเฉพาะโครงร่าง หรือรูปร่างเท่านั้น
ขณะเดียวกัน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เราได้มีการตรวจสอบไปที่กรมข่าวทหาร ผ่านหัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (เอโอที) ของไทย โดยอยากทราบว่าคณะเอโอทีกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่นั้น เป็นคณะเอโอทีจริงหรือไม่ เพราะอยู่ภายในฐานจอมมวย ซึ่งห่างจากแนวรั้วลวดหนาม ที่เรากำลังเก็บกู้ทุ่นระเบิดอยู่ ประมาณ 150 เมตร ซึ่งพบว่าเป็นบุคคลที่ใส่หมวกสีผิดปกติ โดยเราก็ไม่แน่ใจ จึงได้ทำการเช็คย้อนหลังไปที่คณะเอโอทีฝ่ายไทย เพื่อให้ประสานไปที่คณะเอโอทีกัมพูชา และสอบถามว่าได้เข้าไปในพื้นที่หรือไม่
พล.ร.ต.ปารัช กล่าวอีกว่า แต่ประเด็นอยู่ที่ว่ากรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า ในวันที่ 19 พ.ย. 2568 ที่คณะเอโอทีของกัมพูชา ได้ยุติภารกิจตรวจสอบการหยุดยิงบริเวณช่องทางผ่านแดนในเขตจังหวัดโพธิสัตว์นั้น เพราะได้ยินเสียงคล้ายการใช้อาวุธจากฝ่ายไทย ตนยืนยันฝ่ายไทยได้ยินเสียงเหมือนกัน ในขณะที่ฝ่ายเราเก็บกู้ทุนระเบิดอยู่ และ ตนก็ได้สอบถามทางวาจากับ น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ นาวิกโยธินตราด (ผบ.ฉก.นย.ตราด) ที่อยู่ในพื้นที่ที่กำลังตรวจแนวอยู่ ซึ่ง ผบ.ฉก.นย.ตราด ก็ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไร แต่ฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่มีการใช้อาวุธอะไรเลย และตัวของ ผบ.ฉก.นย.ตราด ก็ถูกลูกน้องดึงให้หลบเหมือนกัน และไม่มีเหตุใดที่เราจะไปใช้อาวุธกับฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากว่าไม่ได้ไปอยู่ประชิดแนว
พล.ร.ต. ปารัช กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ในวันที่ 17 และ 19 พ.ย. 2568 มีความแตกต่างกัน โดยในวันที่ 17 พ.ย. 2568 นั้น บริเวณหน้าแนวรั้วลวดหนามมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (เอโอที) ของกัมพูชา เข้ามาประชิดที่แนวรั้วลวดหนาม ในขณะที่เรากำลังทำการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอยู่ อีกทั้งมีการขอเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งปกติโดยมารยาทแล้วจะไม่ทำกัน เพราะคณะเอโอทีไทย ไม่เคยขอข้ามไปฝั่งกัมพูชา เนื่องจากมีคณะเอโอทีของแต่ละฝั่ง ที่มีการสังเกตการณ์แต่ละพื้นที่ ทั้งไทยและกัมพูชาหลังจากนั้นจะรายงานกลับไปที่ หน่วยแม่ที่ประเทศมาเลเซีย เพราะฉะนั้นการที่ข้ามเขตมาเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ โดยไทยก็ได้มีการปฏิเสธไป
พล.ร.ต.ปารัช กล่าวอีกว่า ไปในวันที่ 19 พ.ย. 2568 ก็มีเหตุการณ์บุคคลมาใส่หมวกสีฟ้า มาร่วมตัวกันที่ฐานปฏิบัติการของเขา แล้วจุดมีเสียงดังคล้ายประทัด เพราะหน่วยทหารของเราภายในพื้นที่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงปืนเล็กจากฝั่งไทย และเสียงไม่คล้ายปืนเล็ก ซึ่งมีความแตกต่างพอสมควร
เมื่อถามว่า เหตุการณ์นี้ได้มีการมอนิเตอร์กับคณะเอโอทีไทยให้รายงานไปที่หน่วยแม่ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดว่าเป็นเสียงปืนหรือไม่ พล.ร.ต.ปารัช กล่าวว่า นอกจากเราจะชี้แจงสื่อแล้ว ก็จะมีการชี้แจงไปที่กรมข่าวทหารซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลคณะ AOT ฝั่งไทยเรียบร้อย โดยให้แจ้งไปที่คณะ AOT ฝ่ายไทยเพื่อแจ้งไปที่หน่วยแม่ที่ประเทศมาเลเซีย ให้เป็นการยืนยันว่าฝั่งไทยไม่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น
ส่วนกรณี ผบ.ฉก.นย.ตราด ที่บอกว่าเป็นคณะเอโอทีปลอมนั้น ต้องชี้แจงว่า หากคณะเอโอทีกัมพูชาจะเข้ามาในพื้นที่ กัมพูชาต้องมาประสานว่าจะมีคณะเอโอทีกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้กับไทยและป้องกันการเข้าใจผิด แต่ยืนยันว่าในวันที่ 19 พ.ย. 2568 ไม่มีการประสานมา ซึ่งอาจทำให้ ผบ.ฉก.นย.ตราด เข้าใจผิดได้ว่าไม่ใช่คณะเอโอทีจริง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบอีกที และกรมข่าวทหารจะสามารถให้ข้อมูลตรงนี้ได้ชัดเจนขึ้น
Advertisement