โฆษกรัฐบาล ย้ำวงJBCไม่ทำไทยเสียประโยชน์เขตแดน ด้านกต.ระบุหารือสร้างรั้วบ้านหนองจานหนองญ้าแก้วพร้อมเร่งรัดแก้TOR ขณะกลาโหมจ่อถกGBC23 ต.ค.
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และพล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงกรอบการประชุมทวิภาคี คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา หรือ JBC สมัยพิเศษ ในวันที่ 20-21 ตุลาคมนี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าในทุกการประชุมทั้งกรรมการชายแดนภูมิภาค หรือ RBC ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC และ JBC ซึ่งไม่ได้หมายความว่ารัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง หรือกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง แต่ทั้งหมดเกิดจากการพูดคุยการวางแผนอย่างมีกลยุทธ์เพื่อนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
ขณะเดียวกันในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย โดยวันที่ 20-22 นี้ และจะเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ประเทศมาเลเซีย และการประชุมวันที่ 21-22 ตุลาคมที่ประเทศไทย คือการประชุม JBC
ส่วนที่มีข้อกังวลเรื่องการสุ่มเสี่ยงสละสิทธิ์การยกเลิก MOU ในการประชุม JBC โฆษกรัฐบาล ยืนยันว่า มีความสำคัญต่อสถานการณ์บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว รวมไปถึงจะใช้เทคโนโลยีไรด้าเป็นการใช้แนวเขตแดนจากสันปั้นน้ำ เพื่อให้เกิดความละเอียดมากยิ่งขึ้น หากเทียบเท่ากับแผนที่อาจเทียบได้กับอัตราส่วน 1 ต่อ 20,000 ซึ่งมีอัตราความละเอียดที่สูงกว่าในอดีต ซึ่งเป็นในเชิงเทคนิค
ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นการกล่าวอ้างว่า อาจเป็นการยอมรับแผนที่ฉบับใดฉบับหนึ่งนั้นไม่เป็นความจริง แต่การใช้ภาพถ่ายรายได้เป็นการประเมินจากสถานที่จริงแต่สุดท้ายก็ต้องตกลงร่วมกันกับกัมพูชาอีกครั้ง ในพื้นที่ใดที่ตกลงกันได้แล้วก็สามารถดำเนินการแต่พื้นที่ใดที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะมีการพูดคุยกันต่อ
ขณะเดียวกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอาจจะมีการสงสัยว่าในสถานการณ์บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ที่จะมีการพูดคุยกันใน JBC ทางฝ่ายความมั่นคงมีความเห็นว่าอย่างไร เนื่องจากเมื่อเขารุกล้ำของพื้นที่ไทยมาชัดเจนเหตุใดจึงต้องมีการเจรจา ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือในส่วนที่เขารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของเรา ส่วนนี้ไม่ต้องเจรจาหน้าที่ของรัฐบาลก็คือต้องผลักดันออก แต่ส่วนที่ ยังตกลงกันไม่ได้ต้องอยู่ในกลไกของการเจรจา
นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ในฐานะที่เป็นฝ่ายเลขานุการการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี เราจะจัดให้มีการประชุมJBCสมัยวิสามัญ ขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 22 ตุลาคมที่จังหวัดจันทบุรี โดยฝ่ายไทยจะมี นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นประธานJBCฝ่ายไทย ส่วนฝ่ายกัมพูชาจะมี นายฬำ เจีย ซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบสำนักงานเลขานุการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชาเป็นประธานเจบีซีฝ่ายกัมพูชา ขณะเดียวกันจะมีผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทยเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย อาทิ ผู้แทนสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ รวมทั้งผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
โดยการประชุมครั้งนี้จะเน้นเรื่องเขตแดนเป็นหลักและจะเป็นการประชุมต่อเนื่องจากครั้งก่อน ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ฉะนั้นขอเรียนว่าการทำงานและการกำหนดประเด็นการหารือต่างๆ เราต้องการให้มีความสอดคล้องกันกับเวทีคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ จีบีซี และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC เพื่อให้ไทยสามารถผลักดันผลประโยชน์ของชาติได้อย่างเป็นเอกภาพระหว่างฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายต่างประเทศ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย
เพราะการประชุมJBCสมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ได้มอบหมายให้เจบีซีหารือกรณีบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งหมายรวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย อาทิเรื่องการสร้างรั้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของเจบีซี ซึ่งสะท้อนความตั้งใจของฝ่ายไทยในหารแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการประชุมเจบีซีขึ้น ก่อนจะแจ้งผลกลับไปยังที่ประชุมจีบีซี ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
โดยประเด็นที่คาดว่าทั้งสองฝ่ายจะหารือกันนอกจากประเด็นที่กล่าวมา จะมีเรื่องของการเร่งรัดแก้ไข TOR ปี 2003 ในการนำเทคโนโลยีไรดาร์มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศและการเสนอพื้นที่เร่งด่วนในการกำหนดเขตแดนโดยเฉพาะพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันแล้วฉะนั้นขอย้ำว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในกลไกทวิภาคีที่ไทยจะใช้ดึงกัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาอย่างสันติวิธี ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ซึ่งจะตอกย้ำกับประชาคมระหว่างประเทศว่าการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาประเทศไทยมีความชอบธรรม และกระทำผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ จากนั้นเมื่อการประชุมเสร็จสิ้นจะมีการแถลงข่าวให้ทราบผลการประชุมต่อไป
ด้านพลเรือตรีสุรสันต์ ระบุว่า การประชุม GBC ในวันที่ 23 ตุลาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ซึ่งทั้งมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาจะเป็นสักขีพยาน เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเป็นผู้สังเกตการณ์ จะมีการกำหนดแผนที่รัดกุมมากขึ้นโดยให้ฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติร่วมกันกับฝ่ายไทย ทั้งการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งต้องมีการหารือกับ กัมพูชาซึ่งจะต้องมีการกำหนดห้วงเวลาให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันในเรื่องของการเก็บกู้ทุนระเบิดที่ผ่านมาอาจจะมีความเคลื่อนไหวหรือการขับเคลื่อนที่ค่อนข้างช้าครั้งนี้จะมีการกำหนดชัดเจนว่าพื้นที่ที่อยากจะเก็บกู้ทุ่นระเบิดมีพื้นที่ใดบ้างและในห้วงเวลาใดที่จะมีการดำเนินการ ซึ่งจะเป็นการบ่งบอก ความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์
ขณะที่การประชุม JBC จะเป็นการฟื้นฟูพื้นสภาพความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนทั้งบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้วเป็นหลัก และท้ายที่สุดต้องการให้พื้นที่ชายแดนกับสู่ปกติโดยเร็วที่สุด เนื่องจากทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการถอดอาวุธหนักส่งผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน
ส่วนที่จะมีมวลชนไปกดดันใน พื้นที่การประชุม JBC โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า การดำเนินการในครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือกันของทุกฝ่ายจึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการดำเนินการในครั้งนี้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ฉะนั้น ตนมองว่าการประชุมรวมเป็นสิ่งแต่ต้องชุมนุมภายใต้กฎหมายด้วยความสงบสันติการแสดงออกไม่ผิดถูกต้องแต่ขอให้เกิดความเรียบร้อยในการชุมนุม
Advertisement