(15 ต.ค. 2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจว่า นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุม กระทรวงการคลัง สภาอุตสาหกรรม โดยมีวาระสำคัญ คือ วันแรกของโครงการคนละครึ่งพลัส โดยอยากเชิญชวนร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย เข้าร่วมโครงการนี้เนื่องจากจะไปช่วยการเพิ่มยอดต่างๆ โดย พ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในโครงการคนละครึ่งในอดีตที่ใช้ถุงเงินเป็นประจำ เรามีข้อมูลทุกอย่างอยู่แล้ว
ซึ่งขั้นตอนก็จะง่ายมากโดยการเข้าไปอัปเดตถุงเงินแล้วกดยืนยันเข้าร่วมโครงการ แค่ไม่กี่คลิก ก็เข้าร่วมได้เลย ส่วนร้านค้าที่ยังไม่เคยใช้ถุงเงิน สิ่งที่ต้องทำก็คือดาวน์โหลดใบสมัคร จากเว็บไซต์คนละครึ่งพลัส.com โดยใช้หลักฐานบัตรประชาชนและถ่ายรูปร้านค้า ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้มีการประสานกับกระทรวงมหาดไทย กทม. เพื่อให้มีการยืนยันตัวตน ซึ่งใช้เวลาตรวจสอบ 2-3 วัน ก็ มีถุงเงินสามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยจะเปิดให้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ (15 ต.ค. 2568) -19 ธ.ค. 2568 สามารถทยอยร่วมโครงการได้
ตอนนี้เราเตรียมโครงการคนละครึ่งพลัส สำหรับนิติบุคคลรายเล็ก ซึ่งอันนี้คือพลัสที่ 1 หลังจากที่นิติบุคคลเข้าร่วมไม่ได้ เน้นไปที่รายเล็ก รายใหญ่ยังเข้าร่วมไม่ได้ ส่วนประชาชน จะเปิดลงทะเบียนผู้ซื้อในวันที่ 20 ต.ค. ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ด้วยวิธีการง่ายๆ เช่นกัน ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ถ้าซื้อเท่าไหร่ รัฐช่วยจ่ายสมทบครึ่งหนึ่งส่วนที่เป็นพลัสที่ 2 คือ กลุ่มบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดอายุ 18 ปี ส่วนพลัสที่ 3 คือผู้ที่อยู่ในระบบภาษี จะได้เงิน 2,400 บาท
ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัสจะเริ่มใช้จริงได้ในวันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค. 2568 ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยากจะเชิญชวนให้ร้านค้ามาร่วมโครงการนี้เยอะๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างทั่วถึง
เรื่องที่ 2 ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย เศรษฐกิจ เป็นการรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายฯ ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง โดยหน้านี้รัฐบาลได้มีการทำเรื่องบัตรสวัสดิการ ไปเรียบร้อย ซึ่งคนที่ไม่สามารถเข้าโครงการคนละครึ่งพลัสได้ ก็มีเงินเติมเข้าบัตรในวันที่ 29 ต.ค. นี้ โดยจากปกติจะมีเงิน 300 บาทโอนเข้าทุกเดือน ก็จะเติมไปอีก 1,700 บาท รวมเป็น 2,000 บาท ซึ่งจะสามารถจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นได้เหมือน กับผู้ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส จะสามารถใช้สิทธิ์ได้ถึง 31 ธ.ค.
และวันนี้ยังได้มีการเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจในเรื่องมาตรการต่อไป จะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่ง เรื่องนี้ได้รับความเห็นอย่างมากมายและจะนำไปเสนอในการประชุมครม.ในสัปดาห์ถัดไป โดยส่วนที่ 1 เป็นของประชาชน จะมีการลดหย่อนภาษี 20,000 บาทที่จะใช้ในการท่องเที่ยว จะเริ่มได้ในวันที่ 29 ต.ค. - 15 ธ.ค. 2568 แต่หากเป็นการท่องเที่ยวเมืองรอง ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า โดยยกตัวอย่างหากมีการไปใช้จ่ายในเมืองรอง 10,000 บาทสามารถลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท เพื่ออยากกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง และกำลังซื้อของประชาชน
ซึ่งทางสภาหอการค้าก็เสนอว่า ทางนิติบุคคลก็มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยแทนที่จะพาคนไปเที่ยวเมือง จะมาเที่ยวเมืองไทยแทน ซึ่ง อยู่ในขั้นตอนพิจารณาว่าจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ เนื่องจากเป็นข้อเสนอใหม่จากภาคเอกชน ในส่วนของภาครัฐมีมาตรการที่จะใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท รัฐวิสาหกิจมีงบ 3,000 กว่าล้าน รวมถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็มีงบสำหรับการสัมมนา เพราะฉะนั้น แทนที่รัฐจะไปจัดสัมมนากันช่วงกรกฎาคม-กันยายน แต่เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของทรุดมากในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา โดยมีการใช้จ่ายในประเทศ -8% ซึ่งต้องใช้มาตรการ Front Row ฟื้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไทยจากลบ จากปกติที่ต้องรอไปใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ต้องอนุมัติทำเรื่องเบิกจ่ายให้ได้ภายในเดือนมกราคม 60% ของงบอบรมสัมมนา เพื่อกระตุ้นดีมานในช่วงนี้ เป็นการกระตุ้นที่สั้นแต่ได้ผลยาว ซึ่งโรงแรมต่างๆ ก็ได้ประโยชน์ด้วย
โดยรัฐบาลเตรียมเสนอให้โรงแรมโดยเฉพาะในเมืองรอง สามารถหักภาษีจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงแรม เช่น การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ติดโซลาร์เซลล์ หรือลดการใช้น้ำ ลดของเสีย ได้ในอัตรา 2 เท่า เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
ส่วนเรื่องที่ 3 มีประเด็นสำคัญคือการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จากรายงานของกรมบัญชีกลางพบว่า ปีงบประมาณที่ผ่านมา มีงบประมาณคงเหลือกว่า 300,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ถูกใช้ทันเวลา ส่งผลให้รัฐมีเงินสะสมมาใช้ในปีนี้ รัฐบาลจึงตั้งเป้าหมายให้หน่วยงานเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่า 93% ของงบประมาณประจำ และไม่ต่ำกว่า 75% สำหรับงบลงทุน พร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าเป็นรายเดือน และกำหนดเป็น KPI สำหรับหัวหน้าหน่วยงาน
เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องของการมอบนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบกรอบในการทำงานมาแล้วว่า ทุกคนจะต้องมี
"Quick Big Win" เพราะรัฐบาลมีเวลาจำกัดถึง 31 ม.ค. ที่มีการประกาศจะยุบสภา ซึ่งรัฐบาลจะมีแผนออกมาทุกเดือน ก็จะให้กระทรวงเศรษฐกิจทั้งหลายที่จะมีนโยบายนี้ โดย Quick คือ ทำสั้น Big คือทำให้ใหญ่พอ Win คือประชาชนได้ประโยชน์ทั่วถึงกระจายตัว ทำสั้นได้ผลยาว คือคิดถึงระยะยาวด้วย และให้กระจายตัวให้ทั่วถึง ซึ่งได้นำมาใส่กรอบที่นำเสนอและพูดคุยกับคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้มอบแนวทางให้ทุกกระทรวงจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) รายเดือน โดยเน้นโครงการที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง มีผลกระตุ้นในระยะสั้น และสามารถกระจายรายได้ได้ทั่วถึงทั่วประเทศ
โดยกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานแรกที่จัดทำนโยบายในรูปแบบ "Netflix Policy" ซึ่งจะวิเคราะห์ว่าแต่ละนโยบายใช้งบประมาณเท่าใด สูญเสียรายได้รัฐเท่าใด และสร้างผลประโยชน์ต่อประเทศได้เพียงใด
Advertisement