นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีท่าทีพรรคประชาธิปัตย์ ในการจับขั้วรัฐบาลหัวหน้าพรรคกับเลขาธิการพรรคไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ ว่า ทางเดียวกันอยู่ แต่พรรคประชาธิปัตย์หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอน คือ ต้องมีการเทียบเชิญมา พรรคต้องมีการประชุมร่วมและเป็นมติ แต่ขณะนี้ที่เวลาสั้นรวบรัดจึงมีมติมอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคตัดสินใจ
เมื่อถามว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ไปสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยนายเดชอิศม์จะสนับสนุนหรือไม่ นายเดชอิศม์ กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ที่มติที่ประชุม แต่ส่วนตัวหากมติไปร่วมกับภูมิใจไทยตนคงต้องลาออกจากการเป็น สส. ส่วนจะลาออกจากสมาชิกพรรคหรือไม่นั้นค่อยว่ากัน
เมื่อถามว่า หากลาออกจาก สส.จะมาร่วมกับพรรคเพื่อไทยเลยหรือไม่ นายเดชอิศม์ ไม่ครับ กลับบ้าน อาจจะไม่วางมือทางการเมืองแต่กลับไปตั้งหลัก เพราะตนมาเป็น รมช.มหาดไทย ได้กำกับดูแลกรมที่ดิน เห็นเรื่องเขากระโดงชัดมากว่าคือที่หลวง ตนประกาศตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งว่าที่หลวงต้องเป็นของหลวง ที่ของราษฎรต้องรีบทำเอกสารสิทธิ์ให้เร็วที่สุด เมื่อตนมาเห็นเช่นนี้รู้ว่าในอดีตเขาดูแลกรมที่ดิน เป็นรมว.มหาดไทย ดูแลการรถไฟ กระทรวงคมนาคม จึงทำอะไรไม่ได้มาโดยตลอด เมื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรมว.มหาดไทย ตนเป็น รมช.มหาดไทย ดูแลกรมที่ดิน เห็นช่องว่างอยู่ตรงไหนเราต้องทำให้ได้ เมื่อประกาศไปแล้ว แล้วทำไม่ได้ตนก็กลับบ้าน อันนี้คือความเห็นส่วนตัว แต่มติของพรรคอาจมีเหตุมีผล ที่ตนพูดเป็นความเห็นส่วนตัวที่ได้มาเห็นเหตุ เห็นผล เห็นทุกอย่างในการประชุมพรรคก็พยายามอธิบายสิ่งที่ตนเห็นต่อสมาชิกพรรค
นายเดชอิศม์ กล่าวอีกว่า ตนมาดูแลกรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ตนเห็นความเดือดร้อนประชาชนทั้งแผ่นดิน แต่พอดูการกระจายงบประมาณ กลายเป็นว่า บางจังหวัดได้ 2 พันกว่าล้าน บางจังหวัดได้ 3.5 ล้าน เช่น จ.ภูเก็ต บางเทศบาลได้ 400-500 ล้าน ทั้งที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ ได้แค่ 2-5 ล้าน พอมาดู อบต.บางท้องถิ่นได้เกือบ 200 ล้าน แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เลย ท้องถิ่นทั่วประเทศมี 7,000 กว่าท้องถิ่น ได้ไปแค่ 1,000 กว่าท้องถิ่น ไม่กระจาย พอไปดูลึกๆ พื้นที่ที่ได้เยอะนั้น เป็นสีน้ำเงินเกือบทั้งสิ้น ตนเห็นว่า หากไปร่วมกับเขาด้วยเท่ากับทรยศต่อชาติและประชาชน
นายเดชอิศม์ ยังกล่าวอีกว่า ฮั้วสว.อีกเรื่อง ที่เส้นทางการเงินมาจากคนกลุ่มเดียว เมื่อดูการประชุมที่สัญญาณโทรศัพท์ทำให้เห็นว่าเขาอยู่ด้วยกันทั้งหมด พยานบุคคลให้การเหมือนกันหมด สว. กลุ่มนี้เลือกคณะกรรมการการเลือกตั้งเลือก (กกต.) พวกตน เป็นนักการเมือง ประชาชนที่เป็นนักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ถ้า กกต. อยู่ตรงข้ามกับเรา เราได้ใบแดงทุกคน เราเป็นนักการเมืองไม่ได้ สว.เลือก ป.ป.ช. เราเป็นข้าราชการการเมือง มีส่วนได้เสียกับ ป.ป.ช. อยู่แล้ว หากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงโทษเรา เราอาจต้องไปติดคุกหรือถูกถอดถอน แล้วไปเลือกศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจถอดถอนนายกฯ ถอดถอนรัฐมนตรีสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ถ้าสว. มีเจ้าของอย่างนี้ ประเทศไทยนับวันที่จะหายนะแน่นอน
"ผมอยากฝากไปถึงนักการเมืองพรรคอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคประชาชน ผมชื่นชมคิดว่า พรรคประชาชนเป็นความหวังของประเทศชาติในโอกาสต่อไป แต่อยากเตือนน้องๆ ว่า รอบหน้าต่อให้ได้ 400 เสียง แต่เข้ามาบริหารประเทศไม่ได้ ถ้ายังมี สว. นี้อยู่ ยังมีองค์กรอิสระที่ตั้งจากชุดนี้อยู่ จึงอยากฝากเป็นข้อคิด เพราะผมอาจจะเล่นการเมืองอีกสัก 1-2 รอบ ก็กลับไปอยู่บ้านแล้ว"
Advertisement