กรณีนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงเขยของน้องชมพู่ เคารพนับถือพระพล อธิปัญโญ แห่งวัดดานพระอินทร์ จ.มุกดาหาร ซึ่งหากย้อนไปในปี 2560 ได้นำชีวิตจริงของพระพล ไปสร้างภาพยนตร์เรื่อง ปาฏิหาริย์แก้วนาคราช (บุญเฮ็ด บุญสร่าง)
ล่าสุดวันที่ 3 ก.พ.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้ไปพูดคุยกับ "บ๊วย เชษฐวุฒิ" ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงของเรื่องนี้ โดยหนุ่มบ๊วย เล่าให้ฟังว่า ตนเป็นนักแสดง ใครจ้างก็รับหมด ซึ่งผู้จัดบอกกับตนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีคนศรัทธาจำนวนมาก ก็จะมีการเล่าในส่วนของทางโลก และทางธรรม
ส่วนตนนั้นรับบทเป็น อาเฮีย เจ้าของคาเฟ่ และจะได้เจอกับ นิว ชัยพล ที่รับบทเป็นพระพล ตอนที่ยังอยู่ทางโลก ซึ่งมาสมัครเป็นพนักงานในร้าน ในบทตนเห็นว่าเขาน่าสงสารเลยรับเข้ามา แต่อยู่ไปอยู่มา นิว ก็สร้างปัญหา จนตนไล่ออกจากร้าน ทำให้ นิว ได้ค้นหาชีวิตและได้เข้าทางธรรมในที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลตนใช้เวลาถ่ายแค่วันเดียวเท่านั้น เพราะตนเป็นแค่นักแสดงรับเชิญ
อย่างไรก็ตาม หนุ่มบ๊วย บอกว่า ไม่รู้จักและไม่เคยเจอพระพล เป็นการส่วนตัวแม้แต่ครั้งเดียว เพราะตนในฐานะนักแสดงก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาประวัติของพระอาจารย์ จะเน้นเรื่องของการแสดงมากกว่า ทั้งนี้ในภาพยนตร์ จะมีความเกี่ยวข้องกับการนับถือพญานาคด้วย ซึ่งตนยอมรับว่าเป็นคนที่เชื่อเรื่องพญานาคหมดใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล สำหรับประสบการณ์ส่วนตัว เคยยกมือไหว้พญาศรีสัตตนาคราช ปรากฏว่าได้งานเดี๋ยวนั้นทันที
ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้ตนศึกษาเรื่องพญานาคอย่างจริงจัง แล้วก็มีโอกาสไปดูบั้งไฟพญานาค ซึ่งตนทราบมาว่า พญานาคก็อยู่ในพระพุทธศาสนา ไม่อย่างนั้นเราจะมีคำว่า บวชนาคได้อย่างไร อีกอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มีนาคปรกมาคลุม แต่จากการที่นับถือพญานาค ตนก็ไม่ค่อยโชคดีหรือมีลาภลอย เพียงแต่ในชีวิตจะเจอแต่คนดี ๆ แล้วก็ชีวิตมีความสุข
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ปาฏิหารย์แก้ว นาคราช หรือชื่อเดิม บุญเฮ็ด บุญสร้าง ที่สร้างมาจากชีวิตจริงของ พระพล อธิปัญโญ แห่งวัดดานพระอินทร์ จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่ลุงพล-ไชย์พล วิภา หรือ ลุงเขยน้องชมพู่ เคารพนับถือ ในวันนี้มีอีกหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี พูดคุยกับ “ติ๊ก-ชนัญชิดา จารุปภาเมธิน” หรือ ติ๊ก อาร์สยาม ซึ่งเป็นผู้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นคือ มีพี่ที่รู้จักติดต่อมาว่า มีวัดหนึ่งอยากสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วเขาอยากได้เพลงประกอบ ตนก็สนใจเลยแต่งเพลงให้ มีเพลงเร็ว 1 เพลง คือ บุญเฮ็ด บุญสร้าง และเพลงช้า 1 เพลง คือ บ่แม่น บ่ฮัก
จากนั้นก็ได้เดินทางไปวัดดานพระอินทร์ เพื่อเอาเพลงไปนำเสนอ ซึ่งเป็นการได้พบกับพระพล เป็นครั้งแรก โดยพอท่านได้ฟังแล้วท่านก็ชอบ แต่ก็มีการปรับแก้เนื้อเพลงนิดหน่อย ประมาณ 30% เพื่อให้เข้ากับชีวิตท่าน
คุณติ๊ก เล่าให้ฟังต่อว่า พอถึงขั้นตอนสุดท้ายไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาด หรือเข้าใจอะไรผิด เพราะเครดิตผู้แต่งเพลงกลับกลายเป็นชื่อของพระพล ส่วนชื่อของตนไปอยู่ในส่วนของผู้แต่งทำนอง ซึ่งยอมรับว่าตนไม่โอเค
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในเรื่องของลิขสิทธิ์เพลงอีกด้วย เคยคุยกันแบบปากเปล่า เหมือนสัญญาใจ ไม่ได้มีลายลักษณ์อักษรว่า หากเพลงที่ตนแต่งเกิดดังขึ้นมา ก็จะแบ่งค่าลิขสิทธิ์ให้เป็นของตน 20% แต่พอเวลาผ่านไป พระพลก็มาบอกว่า ขอได้ไหม ให้เป็นการทำบุญไป ยอมรับว่าตอนนั้นแอบน้ำตาไหล เพราะรู้สึกว่าพระพลไม่รักษาสัจจะที่พูดไว้ในตอนแรก แต่ในเมื่อกล้าขอก็กล้าให้
คุณติ๊ก บอกต่อว่า สำหรับงานนี้ทุกอย่างกลายเป็นงานช่วยทั้งหมด เพราะไม่ได้รับค่าตอบแทนแม้แต่บาทเดียว นอกจากค่าตัวร้องเพลง 20,000 บาท ของเพลง บุญเฮ็ด บุญสร้าง และเพลง ถ่าอ้ายคืนมา
ในส่วนของเพลง บ่แม่น บ่ฮัก ที่ได้ แซ็ค ชุมแพ มาร้อง ตนเป็นคนติดต่อไปเอง แล้วก็เป็นคนเสนอพระพลเองด้วย เพราะตอนแรกท่านให้ตนร้อง มีการถ่าย MV แล้วด้วย แต่ตนรู้สึกว่าเพลงนี้สื่อถึงพระเอก จึงควรเป็นผู้ชายร้องมากกว่าแล้วก็ต้องเป็นคนมีสำเนียงอีสานชัดเจนด้วย สำหรับค่าตัวของแซ็ค ก็เป็นราคาไม่เต็ม เพราะตนขอให้แซ็ค ช่วยทำบุญส่วนหนึ่ง
นอกจากนี้ คุณติ๊ก ยังเล่าต่อว่า พอได้ไปคลุกคลีที่วัดดานพระอินทร์ พระพล ก็ได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า นันท์ ดานพระอินทร์ โดยบอกว่าชื่อเดิมไม่รื่นหู ดูติดขัด แต่พอเปลี่ยนแล้วรู้สึกว่าชีวิตกลับวุ่นวายกว่าเดิมอีก จนรู้สึกไม่ดี ทุกวันนี้เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อเดิมแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากพูดในเรื่องของความศรัทธา ตนก็ยังคงเลื่อมใสในตัวพระพล เพราะรู้สึกว่าท่านเป็นพระนักสร้าง จากวัดที่ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้กลายเป็นใหญ่โต เรียกว่าศรัทธาในส่วนของประวัติของท่าน ส่วนอื่น ๆ ตนขอไม่ก้าวล่วง เช่นเดียวกับข่าวตอนนี้ ตนก็ขอเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ เพราะไม่ได้รู้เห็นหรือติดตามข่าวท่านมากนัก
อย่างไรก็ตาม คุณติ๊ก อยากฝากถามพระพลว่า มันเกิดอะไรขึ้น เพราะตนเพิ่งทราบว่า เพลง สิ่งเดียวที่อ้ายขอ และ ขออ้ายได้บ่ กลับมีชื่อของตัวเองอยู่ในส่วนของการแต่งทำนอง ซึ่งตนเป็นผู้แต่งทำนองจริง สมัยตอนทำหนังพระอาจารย์ได้เอาเนื้อของ 2 เพลงนี้มาให้ตนใส่ทำนองให้แล้วก็อัดคลิปไว้ แต่ประเด็นก็คือ เอาไปทำเพลงแล้วใส่ชื่อตนลงไปโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวก่อนเลย ตนไม่รู้เรื่อง และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ 2 เพลงนี้เลย ยอมรับว่าเรื่องนี้ตนไม่โอเคมาก ๆ เพราะการนำชื่อของตนไปทำผลประโยชน์อะไร ตนก็ควรจะรู้ ตอนที่เห็นทั้งตกใจทั้งงงว่ามีชื่อตัวเองได้อย่างไร
