ร่างทรงพาบุกป่าหา "ผอ.อ้อย" อึ้งเจอเสื้อมีรอยแทงหลัง เก็บพิสูจน์คลายคดี (คลิป)

จากกรณี น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย อายุ 37 ปี ผอ.กองการศึกษาอบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่หายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำ หลังเดินทางไปทวงหนี้นายทหารคนสนิท โดยมีข้อมูลว่า สามารถจับสัญญาณโทรศัพท์จุดสุดท้ายได้ 3 จุด คือ อ.น้ำยืน, ด่านช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี และชายแดนบริเวณ พลาญเขียด ใกล้ภูมะเขือ ต.เสาธงชัย จ.ศรีสะเกษ

ล่าสุด วันนี้ (16 ส.ค.) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย พร้อมด้วย นายสุทัศน์ชัย กลมไธสง ตัวแทนร่างทรงซึ่งญาติของน.ส.จุฑาภรณ์ ได้ติดต่อให้เข้ามาช่วยตามหาที่บริเวณลำห้วยผึ้ง ภายในอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี หนึ่งในจุดที่พบสัญญาณโทรศัพท์ครั้งสุดท้าย โดยอยู่ในบริเวณอ่างเก็บน้ำพลานเสือตอนล่าง ห่างกับอ่างเก็บน้ำพลานเสือตอนบนที่เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาประมาณ 5 กิโลเมตร โดยนายสุทัศน์ชัย เผยว่า จากการสอบถามร่างทรง มีการระบุว่าน.ส.จุฑาภรณ์ถูกทิ้งไว้บริเวณ ซอกหินใกล้กับลำธารในป่าแห่งนี้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีขับรถเข้าไปจอดบริเวณปากทางเข้าป่า ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 6 กิโลเมตร ก่อนเดินเท้าเข้าไปด้านใน และทำพิธี บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เปิดทางสำหรับการค้นหาในครั้งนี้

จุดแรกที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบคือ บริเวณ วัดร้างกลางป่า แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ก่อนเดินไปตรวจสอบบริเวณ ข้างลำห้วย ตลอดเส้นทางเป็นป่ารก โดยระหว่างทางพบซองบุหรี่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง แต่ไม่พบหลักฐานสำคัญ จึงเดินปูพรมค้นหา ก่อนที่เจ้าหน้าที่นายหนึ่ง จะพบเสื้อสีขาว สภาพเก่า เปื้อนสีน้ำตาลคล้ายรอยเลือด มีรูทะลุคล้ายถูกแทง คาดว่าอาจเป็นของน.ส.จุฑาภรณ์ แต่ทางนายวิทยา เกษแก้ว สามีน.ส.จุฑาภรณ์ ยืนยันว่าเสื้อดังกล่าว ไม่ใช่ของภรรยาตัวเองแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นายวิทยา เกษแก้วได้เปิดใจกับทีมข่าวว่า วันที่น.ส.จุฑาภรณ์ หายไป ตรงกับวันจันทร์ ตนจึงคาดว่า ภรรยาสาวน่าจะใส่ชุดสีกากีมากกว่า ส่วนตัวเชื่อว่า ร่างของน.ส.จุฑาภรณ์ น่าจะอยู่ฝั่งอุบลราชธานีมากกว่าศรีสะเกษ เพราะฝั่งศรีสะเกษ ตนและชาวบ้านค่อนข้างชำนาญเส้นทางและไม่พบเบาะแส ตอนนี้ยังมีหวัง อยากให้ภรรยายังมีชีวิตอยู่

ขณะที่นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน พ่อของผอ.อ้อย ระบุว่า ตนไม่ได้ออกไปค้นหาลูกสาว แต่จะนั่งรอฟังข่าวที่บ้าน ในวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าหรือเบาะแสใดๆ ตอนนี้ภรรยาก็ออกจากบ้านไปหาหมอทางไสยศาสตร์ เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว ยอมรับว่าต้องพึ่งทุกทางเพราะอยากเจอลูก และตราบใดที่ยังไม่พบศพ ก็ยังมีความหวังว่าลูกจะมีชีวิตอยู่  ซึ่งความรู้สึกตอนนี้ พูดไม่ออกว่าเป็นอย่างไร เพราะรู้สึกแน่นที่หน้าอก อยากเจอลูกเร็วๆ ทั้งนี้ นายบุญเลิศ ปฏิเสธข่าว พบจุดเผาศพ และเสื้อผ้าน.ส.จุฑาภรณ์ โดยสิ่งที่พบเมื่อวานนี้เป็นเพียงเตาเผาขยะเท่านั้น รวมถึงรองเท้าที่พบจำนวนมากในบริเวณเดียวกัน ก็ไม่ใช่ของลูกสาวแต่อย่างใด ขณะที่คุณอุไรวรรณ เพื่อนสาวคนสนิทของน.ส.จุฑาภรณ์ เปิดเผยว่า ผอ.อ้อยรู้จักกับคนมีสีคนหนึ่งยศร้อยเอก เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2559 จากนั้นก็มีสนิทสนมกัน ต่อมาคนมีสีได้ขอยืมเงินหลายครั้ง ครั้งละ2-3 หมื่นบาท รวมหลายครั้ง โดยตนได้เตือนผอ.อ้อยว่าควรจะตีตัวออกห่างได้แล้ว กระทั่งเมื่อเดือน มิ.ย. 2560 ผอ.อ้อยได้ชวนตนให้ไปพบคนมีสีระดับสูงเป็นเพื่อน เพื่อเข้าร้องทุกข์เพราะคนมีสีที่ยืมเงินไปแล้วไม่ยอมคืนให้ อีกทั้ง ผอ.อ้อยได้ทวงเงินอย่างต่อเนื่อง จนคนมีสีดังกล่าวได้นำบัตรเอทีเอ็มมามอบให้ แต่เมื่อน.ส.จุฑาภรณ์นำไปกดเงินก็พบว่าไม่มีเงิน เพื่อนคนสนิท กล่าวต่อว่า พอวันที่ 29 มิ.ย. ผอ.อ้อยได้ส่งไลน์รวมทั้งโทรศัพท์มาชักชวนให้ตนไปเป็นเพื่อนเพื่อดื่มน้ำที่ห้องของคนมีสีระดับสูง แต่ตนผลัดไปว่าขอให้เป็นสัปดาห์หน้า เนื่องจากติดงาน ซึ่งตนยอมรับว่าผอ.อ้อยเพื่อนของตนเป็นคนดี รักครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรักลูกมาก จะไปไหนไกล ๆ ห่างลูกไม่ได้ ซึ่งการที่ผอ.อ้อยจะไปร้องทุกข์กับคนมีสีระดับสู เพื่อให้ช่วยติดตามทวงเงินจำนวนมากจากคนมีสียศร้อยเอก คาดว่าจะเป็นปมสังหารอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ผอ.อ้อยถูกอุ้มหายตัวไป “ในช่วงกลางคืนแทบทุกวัน ตนจะฝันว่าน.ส.จุฑาภรณ์มานั่งก้มหน้าอยู่หน้าบ้าน ซึ่งตนก็ร้องเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน แต่น.ส.จุฑาภรณ์ก็ไม่เข้า แล้วยกมือ 2 ข้างขึ้นมา ทำท่าเหมือนกับตะกุยดิน แล้วก็จางหายไป รวมทั้งร้องไห้คร่ำครวญบ่นว่าคิดถึงลูกสาวมาก ตนคาดว่า น.ส.จุฑาภรณ์อาจจะถูกคุมขังอยู่ที่ใดที่หนึ่งภายในเขต อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี” เพื่อนคนสนิท กล่าว