จตุพร ถาม พรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครองมั้ย? เคยหาเสียงชูแก้ มาตรา112

1 ก.พ. 67

 

จตุพร ถาม พรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครองมั้ย? เคยหาเสียงชูแก้ มาตรา112 เชื่อหากยุบ พรรคก้าวไกล เกิดแลนสไลด์โตกว่าเดิมแน่ 

จากกรณี ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่าการกระทำของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ พรรคก้าวไกล เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 นั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครอง และสั่งการให้เลิกการกระทำ เลิกการแสดงความคิดเห็น ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ 

วันที่ 1 ก.พ. 67 นาย จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ภายหลังที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องเชื่อมโยงถึง พรรคเพื่อไทยว่าต้องมีการลงโทษร่วมด้วย เพราะตอนหาเสียง พรรคเพื่อไทยเองก็มีการหาเสียงแนวทางเดียวกับ พรรคก้าวไกล 

นาย จตุพร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จากผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตนมองไปในทิศทางเดียวกับที่หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตมาก่อนนี้ ซึ่งหลายคนเองก็ไม่ได้แปลกใจกับผลวินิจฉัยดังกล่าว ส่วนการกระทำของพรรคก้าวไกล รวมถึงนายพิธาจะเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าเป็นเพียงการแก้ไขตามกรอบของรัฐธรรมนูญ ยังไม่ถึงขั้นล้มล้างการปกครอง 

แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยดังกล่าวออกมาก็ต้องเคารพ และเป็นไปตามคำวินิจฉัย ไม่อาจก้าวล่วงได้ ส่วนที่มีคำวินิจฉัยออกมาเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะทางศาลรัฐธรรมนูญเองอาจจะมองในส่วนของรายละเอียดพฤติการณ์ และคำพูดในส่วนของ นายพิธา หรือ พรรคก้าวไกล ที่มีมาก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีการหาเสียงหรือไม่ 

นาย จตุพร กล่าวว่า หลังจากนี้ตนเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าหลังมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุติการแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็น พรรคก้าวไกลจะเลือกเส้นทางในการยืนยันความบริสุทธิ์ เดินหน้าสู้ต่อ หรือจะมีการยุติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  แต่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยพรรคก้าวไกล เชื่อว่าจะมีคนรับลูกต่อ เพื่อไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกลต่อแน่นอน ส่วนระยะเวลาในการพิจารณาการยุบพรรคจะใช้เวลานานแค่ไหน ต้องมองตามกรอบการวินิจฉัยและการยื่น ไม่สามารถขีดเส้นตายได้ 

นาย จตุพร กล่าวต่อว่า ส่วนอนาคตศาลจะมีการพิจารณาวินิจฉัยถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ ต้องเป็นดุลยพินิจของศาลและกรอบข้อกฎหมายว่าจะเดินหน้าอย่างไร แต่ตนมองว่า ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยยุบพรรคในอนาคตพรรคก้าวไกลก็ยิ่งจะโตมากกว่าเก่า คล้ายกระแสนิยมจะเพิ่มามากขึ้น เรียกกว่าแลนด์สไลด์มากกว่าเดิม ดูได้จากอดีตจากพรรคอนาคตใหม่ 

ตนตัดสินแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ว่าอนาคตจะเลือกเส้นทางยุติ และทำตามกรอบข้อกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ประกาศไว้ หรือจะออกมาต่อสู้ในมุมมองของพรรคก้าวไกล ซึ่งในส่วนกรรมการบริหารพรรคเองมีความคิดเห็นที่หลากหลาย ตนจึงคาดเดาได้ยากว่าพรรคก้าวไกลจะเลือกเส้นทางไหน แต่สุดท้ายหากอนาคตถึงขั้นที่มีการประกาศยุบพรรค แน่นอนสิ่งที่ตามมาคือคะแนนและความนิยมของพรรคก้าวไกลที่จะต้องมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความรุนแรงหรือความเห็นต่างย่อมต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่ตนตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วในส่วนของการเมืองเองจะสรุปออกมาในทิศทางไหน เพราะอย่าลืมว่าในทุกวันนี้รัฐบาลที่ได้มาก็เป็นรัฐบาลที่ได้มาโดยเงื่อนไข และข้อเเลกเปลี่ยน ความรุนแรงเกิดขึ้นมาแล้วสุดท้ายใครจะเข้ามาได้ผลประโยชน์หรือควบคุมเกมการเมือง คล้ายเหตุการณ์ในอดีตคล้าย 22 พ.ค.57 

อย่างไรก็ตามตนมองคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ถือเป็นการปิดล็อกความคิดที่จะมีการแก้ไขในส่วนของมาตรา 112 และเชื่อว่าไม่มีใครกล้าเสียงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในลักษณะแบบเดียวกับพรรคก้าวไกล  

นาย จตุพร กล่าวว่า เมื่อผลวินิจฉัยออกมาดังกล่าว และมีการชี้ว่าพรรคก้าวไกลกระทำลักษณะล้มล้างการปกครองป ในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ก่อนหน้านี้ได้มีการออกมาหาเสียง และมีการชูนโยบายลักษณะคล้ายกับพรรคก้าวไกล หากมีการไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเดียวกับพรรคก้าวไกลอนาคตจะเป็นเช่นไร ในส่วนนี้หากย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือบุคคลอื่นในพรรคเพื่อไทย ก็เคยมีการชูนโยบายลักษณะเดียวกัน วันนี้หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยลักษณะดังกล่าวออกมาก็แสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยก็จะต้องโดนในแบบเดียวกัน ทั้งนี้หากมีคนไปร้องก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าเคยมีการกระทำเหตุการณ์แบบนี้มาในอดีตหรือไม่  เช่น กรณี “ช่อ พรรณิการ์ วานิช“ ที่มีการตรวจสอบย้อนหลัง จนนำไปสู่การตัดสิทธิ์ทางการเมือง ดังนั้น พรรคเพื่อไทย ก็อยู่ในอาการน่าเป็นห่วง

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส