เปิดใจเจ้าอาวาสวัดขุมข้าว ลั่นไม่รู้สึกอะไร หลังถูกสั่งปลดเหตุบวชให้พระคาดหัว

เปิดใจเจ้าอาวาสวัดขุมข้าว ลั่นไม่รู้สึกอะไร หลังถูกสั่งปลดเหตุบวชให้พระคาดหัว ยืนยันยังไม่มีใครกล่าวหาพระอ๋อยว่าปาราชิก

ที่วัดขุมข้าว อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปถึงที่วัดพบว่าบรรกาศเงียบ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากพลี จำนวนหนึ่งเดินทางมาที่วัดเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพระอ๋อย โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บอกว่าได้เดินทางมาที่วัด รอบนี้เป็นรอบที่สองแต่ก็ไม่มีพระรูปไหนให้ข้อมูลอะไรเลย จนกระทั่งมีพระสงฆ์นั่งรถเก๋งเข้ามา ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินเข้าไปสอบถามว่าเดินทางมาทำอะไร เกี่ยวข้องกับเรื่องพระอ๋อยหรือไม่ แต่พระสงฆ์ดังกล่าวได้บอกปัก ก่อนที่จะรีบวิ่งขึ้นบันไดอย่างมาพิรุธ ก่อนที่จะสะดุดสงบตัวเองหน้าคว่ำกลิ้ง และรีบลุกขึ้นอย่างไวเข้าไปในศาลา

จากนั้นพระครูปทุมปริยัตยานุกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดขุมข้าว ตำบลหนองแสง เขต 2 อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ได้เดินทางมาถึงที่วัดพร้อมถุงยา โดยบอกว่าเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล ก่อนที่จะเชิญให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปในกุฏิ พร้อมเปิดใจกับผู้สื่อข่าว หลังจากถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าอาวาส โดยระบุว่าตนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ส่วนตำแหน่งเจ้าคณะตำบลนั้นตนก็ได้ลาออกจากตำแหน่งมาตั้งนานแล้ว ซึ่งตอนนี้ตนไม่มีตำแหน่งอะไร เป็นเพียงพระลูกวัดเท่านั้น และตอนนี้เจ้าอาวาสวัดก็คือพระที่อยู่ในวัดมาดำรงตำแหน่งแทนตน และตนไม่รู้สึกเสียใจที่ถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกตน

ในเรื่องของพระอ๋อยนั้น พระครูปทุมปริยัตยานุกิจบอกว่า เรื่องปาราชิกนั้นมันไม่มี ยังไม่มีใครกล่าวหาพระอ๋อยว่าปาราชิก ซึ่งก่อนที่ตนจะบวชให้พระอ๋อยนั้นตนก็ได้มีการตรวจสอบแล้วว่าเขาไม่ได้ปาราชิก ไม่มีคดีทางโลก ตนจึงให้บวชได้ และที่พระอ๋อยบวชมาก็ใช่ว่าเขาไม่ดี ก่อนที่จะชี้ไปยังด้านนอกที่เป็นลานพื้นปูนและหลังคาอาคารขนาดใหญ่

ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นก่อนหน้านี้ที่ถูกหมอปลาบุกกุฏิแล้วเจอผู้หญิงซ่อนตัวอยู่ในนั้น ตนรู้แค่จากในข่าวแต่ก็ไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้กับพระอ๋อยเนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว โดยส่วนตัวตนไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น ตนคิดว่าอาจเป็นการจัดฉากแต่ก็ไม่ฟันธงเนื่องจากถ้าพูดไปก็จะเป็นเรื่องที่ผิด ตั้งแต่ที่พระอ๋อยมาบวชที่วัดตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว พระอ๋อยไม่มีการดูดวง หรือเสกน้ำมัน หรือเสพของพุทธาภิเษกก็ไม่มี โดยอาศัยอยู่ที่วัดแบบเงียบๆ และช่วยพัฒนาวัด

ขณะที่เมื่อคืนนี้พระอ๋อยได้สึกไปแล้วหลังมีคำสั่งขอร้องให้สึก โดยทางเจ้าคณะจังหวัดได้ส่งคนมาดูทุกขั้นตอนในการสึกพร้อมถ่ายภาพ โดยไม่มีการสอบสวนอะไรเกิดขึ้น และเรื่องที่ตนถูกปลดก็ไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงเช่นกัน แต่ตนก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ที่คณะหมอปลาเดินทางมาที่วัดตนได้เรียกให้ลงมาจากรถเพื่อมาพูดคุยกับ แต่ทางคณะหมอปลาก็ไม่ได้ลงมาจากรถเพื่อมาพูดคุยกับตน ซึ่งทีมหมอปลาก็อยู่จนถึงมืด ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเค้ามาเฝ้าเพื่ออะไร แต่ตนก็พยายามที่จะไม่พูดหรือให้ข่าวอะไร เนื่องจากหาพูดอะไรออกไปข่าวที่สื่อสารออกไป อาจจมีเนื้อหาที่ผิดเพี้ยนจากสิ่งที่ตนพูดอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันไปได้

แต่ตนก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นถึงไม่มีการตั้งคณะสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ผ่านมาไม่เคยเรียกตนไปสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่กลับมาหนังสือปลดตนออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด ขณะที่ทางพระอ๋อยก็ยังไม่มีใครออกมายืนยันว่าพระอ๋อยนั้นปาราชิก ซึ่งการที่จะปาราชิกนั้น จะต้องมีการสอบอธิกรณ์ ให้ครบทุกขั้นตอน อย่างเรื่องครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ได้มีการตรวจสอบอธิกรณ์ซักอย่าง โดยปกติแล้วพระต้องมีการตั้งอธิกรณ์ขึ้นมาตรวจสอบ เมื่อคดีทางโลกไม่มีคดีก็หลุด ดังนั้นก็จะให้ปาราชิกตรงไหน หลังจากนี้ตนก็จะไม่ยื่นอุทธรณ์เรื่องที่ตนถูกปลดจากเจ้าอาวาสซึ่งปลดก็คือปลด ซึ่งตนไม่ยึดติดกับลาภยศใดๆ ทั้งสิ้น และตนเป็นหลวงตา หลวงน้าก็รู้สึกสบายใจดีไม่ต้องรับภาระหาเงิน และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่ก็ยังไม่เสร็จ

ทั้งนี้ตนอยากบอกว่า การที่จะโทษใครสักคนหรือว่าจะกล่าวให้ใครสักคนควรจะตรวจสอบให้แน่นอนเสียก่อน เพราะมันจะกลายเป็นตราบาปให้คนคนนึง ที่พระอ๋อยมาบวชนั้นเขาไม่ใช่ทำไม่ดี เขาทำดีช่วยตนหาเงินมาพัฒนาวัดเทพื้นปูนลานวัด รวมถึงงานต่างๆ ภายในวัด โดยไม่ขอเงินจากตน

ส่วนตัวตนรู้จักกับพระอ๋อยสมัยเรียนที่ประดับปริญญาตรีที่วัดพิชัยญาติการาม หรือ วัดพิชัยญาติ เมื่อประมาณปี 2557-58 ที่ผ่านมาเวลาวัดมีงานก็จะส่งเงินมาร่วมทำบุญที่วัดอยู่เรื่อยๆ โดยนิสัยพระอ๋อยที่ตนรู้จักเป็นคนใจบุญ ชอบช่วยเหลือคน ใครขาดเหลืออะไรก็จะช่วยหมด ในเรื่องการมีครอบครัวพระอ๋อยเคยมีครอบครัวหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุถูกล้อรถบัสทับเท้าจนพิการก็มาบวชพระโดยรอบแรกก่อนที่จะเกิดเรื่องก็นานถึง 30 พรรษา และมาบวชรอบนี้อีก 1 พรรษา