กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก "เจ๊ม้อย v plus" ออกมาโพสต์คลิปเหตุการณ์จากกล้องหน้ารถ และกล้องวงจรปิด พร้อมข้อความระบุว่า “#ถอยมาชนลงมาต่อย มีปัญหาอะไรก่อนหน้าก็ควรใช้สติในการตัดสินใจ การทำร้ายร่างกายชกต่อยกันไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ห้ามกันจนระอา แม้แต่เพื่อนที่มาด้วยกันก็เอาไม่อยู่ ผิดถูกก็ว่ากันตามกฎหมาย ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินนะคะ ชลบุรี ถนนซากค้อ-หนองยายบู่”
จากนั้นเมื่อรถทั้ง 2 คันจอด จะเห็นว่ารถเก๋งมีการขับเดินหน้า 10 เมตร เพื่อปรับเลนให้รถ 2 คันอยู่ในเส้นที่ตรงกันพอดี จากนั้นก็ใส่เกียร์อาร์ถอยหลังมาชนหน้ารถกระบะเข้าอย่างจัง พร้อมกับมีการพูดท้าทายออกมาจากรถว่า ให้คนในรถกระบะลงมา แล้วก็ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทราบชื่อคนขับรถกระบะ นายรณกร พรหมเด่น อายุ 52 ปี ไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่ควบคุมอารมณ์ และถอนหายใจ
นายรณกร รีบโทรศัพท์แจ้งลูกชายให้มาที่จุดเกิดเหตุ และโทรเรียกประกัน ขณะนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เข้ามาที่เกิดเหตุพอดี หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ก็มีชายใส่เสื้อสีน้ำเงิน 2 คนเปิดประตูลงมาจากรถเก๋ง โดยคนที่ใส่แว่นทราบชื่อ นายรัฐกาญจน์ อายุ 22 ปี เป็นคนขับ ส่วนอีกคนทราบชื่อ นายอนวัช ทั้งคู่เดินปรี่มาด้วยลักษณะหัวร้อน ทุบกระจกโวยวายฝั่งข้างคนขับของรถกระบะทั้งหมด 6 ครั้ง พร้อมตะโกนว่า “เป็นเหี้-อะไร แน่จริงก็เข้ามาดิ”
ผ่านไปไม่กี่นาที นายนิรุทธ์ พรหมเด่น หรือ เค อายุ 31 ปี ลูกชายของนายรณกร ก็เดินทางมาถึง และมีการถ่ายรูปตรงจุดเกิดเหตุ จากนั้นก็เดินเข้าไปถามนายรัฐกาญจน์ ว่าใครเป็นเจ้าของรถ แต่คำตอบที่ได้มาคือ “พ่อมึงผิด ขับมาชนกู” แล้วก็เข้ามาชกเข้าที่หน้าของนายเค อย่างจัง และมีชกต่อยกันอยู่พักใหญ่ ทำให้นายอนวัช และกู้ภัยต้องเข้ามาห้าม เหตุการณ์ถึงจะสงบ
ล่าสุดวันที่ 14 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับนายรณกร พรหมเด่น คนขับรถกระบะ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 7 ธันวาคม 64 ที่ผ่านมา บริเวณสี่แยกวัดใจ ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ขณะที่ตนกำลังขับรถออกจากบ้านมุ่งหน้าเพื่อจะไปธุระ ก็มีรถเก๋งของนายรัฐกาญจน์ ขับนำหน้า แต่ระหว่างที่จอดรอให้ถนนโล่งเพื่อเลี้ยวขวา มีหลายช่วงที่สามารถเลี้ยวได้ แต่นายรัฐกาญจน์ ไม่ยอมเลี้ยว แม้รถฝั่งตรงข้ามจะจอดให้เลี้ยวเขาก็ยังไม่เลี้ยว ตนก็เลยตัดสินใจบีบแตรเตือนไป 1 ครั้ง จนทำให้นายรัฐกาญจน์ เลี้ยวขวา แล้วตนก็เลี้ยวตาม โดยมีรถประมาณ 3-4 คันคั่นกลางอยู่
"ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุทำให้เขาโมโห แต่การที่ผมบีบแตรนั้นเป็นเพราะผมรีบไปทำธุระด้วย ตอนนั้นพยายามควบคุมสติให้ได้มากที่สุด เพราะมาคนเดียว ผมไม่สู้คน ไม่อยากให้เกิดการปะทะอะไรทั้งนั้น กระทั่งลูกชายมา เขาก็พยายามถามคู่กรณีว่าใครเป็นคนขับรถเก๋ง แต่เขากลับด่าทอหาว่าผมผิด แล้วก็เข้ามาต่อยลูกชายผมตามที่เห็นในคลิป ซึ่งตอนนั้นได้กลิ่นเหล้าออกมาจากคู่กรณีแรงมาก ดูสีหน้าท่าทางแล้วไม่ต่างอะไรจากคนเมา" นายรณกร กล่าว
จากนั้นเมื่อเดินทางไปถึง สภ.ศรีราชา เจ้าหน้าที่ตำรวจวัดค่าแอลกอฮอล์ทั้ง 2 ฝ่าย ปรากฏว่าผลของตนเป็น 0 ส่วนนายรัฐกาญจน์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 79 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตำรวจจึงทำบันทึกจับกุมในข้อหาเมาแล้วขับ เพื่อเปรียบเทียบปรับและจำคุก แต่นายรัฐกาญจน์ ไม่ยอม เถียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ได้เมา อ้างว่าเครื่องเป่าไม่ได้ปรับตั้งค่าให้เป็นปกติ ตำรวจก็ยืนยันว่าปรับแล้ว สุดท้ายนายรัฐกาญจน์ ก็ไม่ยอมเซ็นรับคำสารภาพ ตำรวจจึงพาเข้าห้องขัง ต่อมาเพื่อนและหัวหน้าของนายรัฐกาญจน์ ก็เดินทางมาประกันตัว พร้อมกับให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา เขาถึงได้ยอมเซ็น และถูกปล่อยตัวกลับบ้านไปตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 64 โดยนายรัฐกาญจน์ ไม่ได้มีการกล่าวคำขอโทษตน มีแต่เจ้านายของเขาที่กล่าวคำขอโทษแทน
"เรื่องของคดีความที่เขาเบรกกะทันหันและถอยรถมาชนนั้น เบื้องต้นพนักงานสืบสวนสอบสวน สภ.ศรีราชา ยื่นฟ้องในชั้นศาลไปแล้ว และจะนัดไกล่เกลี่ยกันต่อไป แต่ยังไม่ได้นัดหมาย มันก็คล้ายข่าวดังช่วงหลายปี แต่ผมไม่อยากจะเอาไปเปรียบเทียบ ฉะนั้นมันเป็นที่ตัวคนมากกว่า สำหรับค่าเสียหายที่ประกันได้ประเมินไว้ 121,000 บาท ประกันจะเป็นคนจ่ายทั้งหมด ฝั่งคู่กรณียังไม่เสนอเงินค่าทำขวัญหรือค่ายามาให้เลย" นายรณกร กล่าวทิ้งท้าย
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปคุยกับนายนิรุทธ์ พรหมเด่น อายุ 31 ปี หรือ เค ลูกชายของนายรณกร กล่าวว่า เมื่อตนมาถึงในที่เกิดเหตุและมีการถ่ายรูปรถ ระหว่างนั้นนายรัฐกาญจน์ ก็เข้ามาชกต่อยกับน้องชายตน เมื่อเห็นแบบนั้นตนก็เดินเข้าไปแยก แต่นายรัฐกาญจน ยังหัวร้อน พยายามถามด้วยน้ำเสียงขู่ว่าตนเป็นใคร เป็นญาติหรือเปล่า ตนก็บอกว่าใช่ ผ่านไปไม่กี่นาที นานรัฐกาญจน์ ก็ลุกขึ้นมาอาละวาดอีกรอบ และเข้ามาชกตนตามคลิปที่ปรากฎ ทำให้ตนมีแผลถลอกบริเวณห่างคิ้วด้านซ้าย ทั้งนี้ ตนอยากให้เรื่องมันจับและปล่อยเป็นเรื่องของคดีความทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่นายรัฐกาญจน์ ขับรถโดยประมาททำให้เสียทรัพย์ และ เจตนาทำให้เสียทรัพย์ หลังจากนี้จะมีการนัดไกล่เกลี่ยกันในชั้นศาล ส่วนตน นายรัฐกาญจน์ และนายอนวัช โดนคดีร่วมกันคือสมัครใจทะเลาะวิวาท
นายรัฐกาญจน์ กล่าวยอมรับว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนทำไปเพราะเมา ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุตนดื่มกับเพื่อน ๆ มาเยอะ พอขับรถมาถึงแยกวัดใจแล้วได้ยินเสียงบีบแตรใส่ ก็เลยทำให้ขาดสติ จึงมีการด่าทอ ชูนิ้วกลาง ขับเบรกรถกะทันหัน และถอยชนรถของนายรณกรตามที่ปรากฏในคลิปทั้งหมด ตนยอมรับว่าทำไปเพราะขาดสติจริง ๆ ก็อยากจะขอโทษสังคม อยากขอขมาคู่กรณี และขอบคุณสำหรับบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
"ตอนนี้ผมรู้สึกผิดมาก ๆ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบกับการงาน แต่ก็เครียดกับพฤติกรรมที่ทำลงไป ผมก็พยายามติดต่อคู่กรณีแล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อได้ หลังจากนี้หากตำรวจนัดวันไกล่เกลี่ยในชั้นศาล ก็อยากจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาคู่กรณีอย่างเป็นทางการ ยากจะให้กรณีของผมเป็นอุทาหรณ์เมาแล้วห้ามขับ มันมีผลเสียที่ตามมาเยอะมาก" ผู้ก่อเหตุ กล่าว
