"พี่คล้าว" น้ำตาคลอ ซึ้งใจคนแห่เป็นพยานช่วยคดีฉ้อโกงควาย "ปรเมศวร์" ติงตำรวจหัดมีสติ โดนฟ้องกลับจะสลบ ถามคนแจ้งความ คิดอะไรอยู่ (คลิป)

29 พ.ย. 61
จากกรณี นายสุรัตน์ แผ้วเกตุ อายุ 34 ปี เจ้าของภาพควายยิ้มที่เป็นขวัญใจชาวโซเชียล ฉายาพี่คล้าว 2018 ระดมทุนเพื่อซื้อเจ้าทองคำ ควายเพศผู้ หลังเจ้าของบอกให้โอกาสนายสุรัตน์หาเงินมาซื้อเจ้าทองคำไว้เลี้ยง ซึ่งหลังรับเงินบริจาคกว่า 1 แสนบาท และทำการตกลงซื้อขายไปเรียบร้อยแล้วนั้น ล่าสุดนายบุญเลิศ กาฬภักดี นายก อบต.สุขเดือนห้า เจ้าของควาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายสุรัตน์ ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหานำเข้าข้อความอันเป็นเท็จ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คันนายาว ได้อายัดของกลางในคดีคือเจ้าทองคำ นำมาเลี้ยงไว้ที่สถานีตำรวจชั่วคราว (อ่าน : "พี่คล้าว" เข้าพบ ตร.มอบหลักฐาน ยันความบริสุทธิ์ เผยกำลังใจล้น สุดคิดถึง "เจ้าทองคำ") วันที่ 29 พ.ย. 61 รายการต่างคนต่างคิด ตอน "พี่คล้าว" ควายยิ้ม ผิดตรงไหนถึงโดนจับ? ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ คุณสุรัตน์ แผ้วเกตุ ผู้ถูกกล่าวหา คุณกนกกรณ์ ภรรยาของผู้ถูกกล่าว และคุณปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีสำนักงาน ชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด มาร่วมพูดคุยในรายการ
รายการต่างคนต่างคิด ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34  เวลา 18.50 น.
คุณกนกกรณ์ วันนี้ตนเดินทางไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ สน.คันนายาว รู้สึกตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าห้องสอบสวนมาก่อน ซึ่งเหตุที่ตนและนายสุรัตน์เดินทางมาก่อนวันกำหนดในหมายเรียกนั้น เพื่อเข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ตนและสามีได้กำลังใจจากคนอื่นเยอะมาก รวมถึงผู้บริจาค นำหลักฐานการโอนเงินมายืนยันว่า จะไม่เอาเงินบริจาคคืนอีกด้วย ตนไม่คิดว่าจะถูกข้อหาหนักถึง 4 ข้อหา ซึ่งหากย้อนกลับไปได้ก็คงไม่รับบริจาคให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้
คุณปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดี สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด
ด้าน คุณปรเมศวร์ แสดงความคิดเห็นว่า ข้อหาที่แจ้งต่อนายสุรัตน์ คือ ฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน ความผิดตาม พ.ร.บ.เรื่ยไรเงิน และคอมพิวเตอร์ ซึ่งตนคาดว่า เจ้าหน้าที่อาจตั้งข้อหาฟอกเงินร่วมกับข้อหาฉ้อโกงประชาชน ทั้งที่เรื่องดังกล่าวไม่ได้เข้าข่ายฟอกเงินเลยแม้แต่น้อย โดยไม่มีการสอบปากคำนายสุรัตน์ก่อน ตนถือว่าเป็นการตั้งข้อหาแบบไร้สติ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรม เพราะกรณีนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้สอบสวนผู้ถูกกล่าวหา แต่กลับตั้งข้อหาถึง 4 ข้อหาเสียแล้ว ซึ่งเป็นการตั้งข้อหาแบบโบราญ โดยมุ่งเอาผิดผู้ต้องหาให้หนักไว้ก่อน โดยไม่นึกถึงสภาพความเป็นจริง การทำอย่างนี้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เรื่องฉ้อโกงประชาชน ตนไม่เห็นว่าเป็นการฉ้อโกงดังที่เจ้าหน้าที่กล่าวอ้าง เนื่องจากนายสุรัตน์และภรรยาก็โพสต์ไว้อย่างชัดเจนว่า "ขอให้เจ้าทองคำมาอยู่ด้วย ให้เลี้ยง ให้อนุรักษ์" ไม่ได้มีการเขียนในเชิงว่า ควายจะถูกฆ่า เข้าโรงเชือดแต่อย่างใด ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.เรื่ยไรเงินนั้น ตนเห็นว่าไม่น่าจะเข้าข่ายตั้งแต่แรก เพราะจุดประสงค์ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว เขียนมาไว้สำหรับการเรี่ยไรเงินที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชน เช่น เดินขอเงินทำบุญตามบ้าน หรือประชิดตัว ซึ่งการโพสต์เรื่องลงในโซเชี่ยลมีเดียก็ไม่น่าจะเดือดร้อนใคร และหากนายสุรัตน์มีความผิดใน พ.ร.บ. ดังกล่าวจริง สื่อฯ หรือผู้อื่นที่รับบริจาคจะไม่โดนข้อหาเดียวกันนี้ไปด้วยหรือ ส่วนคำว่า "ไถ่" ซึ่งเป็นประเด็นล่วงไปถึง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์นั้น ตนรู้สึกสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกัน เนื่องจาก นายสุรัตน์พูดคำว่า "ไถ่" ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อฯ ไม่ใช่โพสต์ลงเฟซบุ๊ก และนายสุรัตน์ก็นำเงินบริจาคไปซื้อควายจริง ๆ ไม่ได้มีส่วนใดที่เป็นการนำข้อมูลในเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย และเรื่องการบริจาคนายสุรัตน์ก็ชี้แจงตัวเลขให้กับสังคมรับรู้ ส่วนเงินที่เหลือก็ยังคงไว้ในบัญชี ไม่ได้เป็นการทุจริตแต่อย่างใด คุณปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า ท่านนายกฯ เจ้าของเดิมของเจ้าทองคำ ควรออกมาอธิบายกับสังคม ว่าสงสัยหรือข้องใจเรื่องใด ไม่ควรนำเรื่องมาแจ้งความให้เป็นคดีความวุ่นวาย และตนไม่เห็นความจำเป็นที่นายกฯ จะนำเงินจากการซื้อขายเจ้าทองคำไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ผู้บริจาคควรเข้าใจว่า การบริจาคคือการให้เปล่า ซึ่งตนก็สงสัยอยู่ว่า ผู้บริจาคคิดอะไร และมีความจำเป็นขนาดไหนที่จะต้องเข้าแจ้งความ ซึ่งหากมีข้อสงสัย เหตุใดจึงไม่มาสอบถามกับนายสุรัตน์เพื่อให้เจ้าตัวอธิบายก่อน ตนแนะนำว่าหากเลี่ยงคดีได้ก็ควรเลี่ยง และเรื่องนี้ก็ไม่ควรเป็นคดีความ
คุณกนกกรณ์ แผ้วเกตุ ภรรยาของผู้ถูกกล่าวหา
ต่อมา คุณกนกกรณ์ กล่าวอีกว่า ตนและนายสุรัตน์เลี้ยงเจ้าทองคำมาประมาณ 2 อาทิตย์ แต่รู้สึกผูกพัน ขณะนี้ก็ยังรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงควายตัวนี้ แม้ว่าจะอยู่ในความดูของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตาม และยืนยันว่า ตนและสามีไม่มีใคร เสแสร้งสร้างดราม่าให้สังคมสงสาร ความรู้สึกที่เปิดเผยออกมานั้นเป็นความรู้สึกจากใจจริง ซึ่ง คุณปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่นำควายไปเป็นของกลางที่โรงพัก  หากเจ้าทองคำป่วย หรือตาย ระหว่างการควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร และจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ ทั้งที่ เจ้าหน้าที่สามารถให้นายสุรัตน์ ซึ่งเป็นเจ้าของควายโดยชอบธรรม นำไปเลี้ยงดูก่อนก็ได้ แต่กลับไม่ทำ ด้าน คุณสุรัตน์ เปิดเผยว่า หลังจากเข้าพบพนักงานสอบสวนที่ สน.คันนายาว ตนก็รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้ชี้แจงและปล่อยตัวกลับบ้านโดยที่ยังไม่แจ้งข้อหาหรือให้วางเงินประกัน เรื่องรับบริจาคนั้น ตนเห็นว่าตนชี้แจงกับเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กไปอย่างชัดเจนแล้ว และมีการให้โทรศัพท์มาสอบถามกันก่อน หากผู้บริจาคมีข้อสงสัย ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ก็มีผู้บริจาคที่บริจาคเงินสูงสุดถึง 10,000 บาท และผู้บริจาคคนอื่น ๆ ก็ยังให้กำลังใจตนอีกด้วย ซึ่งหลังจากตกลงซื้อขายควายกับนายกฯ ตนชี้แจงไปว่า เพื่อน ๆ จะนำเงินมาช่วยเหลือ เพื่อซื้อเจ้าทองคำ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเงินที่ได้จากการบริจาค  คาดว่านายกอาจเข้าใจผิดและเกิดความแคลงใจในจุดนี้ ส่วนเรื่องเงินที่เกินมาจากค่าซื้อควายจำนวน 66,000 บาท ตนจะคงเงินไว้ในบัญชี ยังไม่ได้นำไปใช้จ่ายอะไร นอกจากนี้ คุณปรเมศวร์ กล่าวว่า เรื่องที่นายกฯ คลางแคลงใจเกี่ยวกับที่มาของเงินนั้นก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรจะนำเงินไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะการซื้อขายจบลงแล้ว เจ้าทองคำเป็นควายของนายสุรัตน์โดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ขณะส่งมอบเงินแล้ว ส่วนหากผู้บริจาคคนใดยังติดใจกับคำว่า "ไถ่" ตนก็อยากจะให้ทำความเข้าใจว่า อย่ามองที่ตัวภาษาเพียงอย่างเดียว แต่ให้มองถึงเจตนาด้วย
คุณสุรัตน์ แผ้วเกตุ ผู้ถูกกล่าวหา
ตนเห็นว่าพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาเกินจริง และขาดการพิจารณาข้อเท็จจริงไปเสียมาก หากผู้ต้องหาต้องการฟ้องร้องกลับ พนักงานสอบสวนอาจ "สลบคาโต๊ะ" ไปเลยก็ได้ ดังนั้นตนแนะนำว่า พนักงานสอบสวนควรตั้งข้อหาอย่างรอบคอบ และนายสุรัตน์และภรรยาก็อย่าต่อคดีให้ยืดยาว เพราะขณะนี้ยังสามารถจบเรื่องได้ด้วยดี คุณปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตนต้องการให้ผู้บริจาคร่วมกันแสดงตัว อาจจะโพสต์เฟซบุ๊กและรวบรวมความคิดเห็นส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อชี้เจตนาของนายสุรัตน์ เพราะจะสามารถวัดได้ว่า ยังมีคนเชื่อว่าไม่มีการฉ้อโกง เพราะจุดจบของเรื่องนี้ก็นำเงินไปซื้อควายจริง ๆ และยังไม่ได้นำเงินไปใช้อะไร และตนขอชี้แจงว่า เงินบริจาคที่เหลือนั้นไม่ใช่เงินของนายสุรัตน์ แต่เป็นเงินของเจ้าทองคำ เรื่องทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่า ทุกคนควรมีสติ ไม่ว่าจะเป็นผู้เกี่ยวข้องอย่าง เจ้าหน้าที่ หรือบุคคลในโลกออนไลน์ สมัยนี้การสื่อสารรวดเร็วมากก็จริง แต่เรื่องบางเรื่องยังไม่ได้เผยความจริงออกมาทั้งหมด อย่าเพิ่งกระโจนเข้าใส่ไปเสียทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้ ตนคาดว่าคดีคงไม่พลิกแล้ว เพราะเรื่องไม่ได้เริ่มต้นว่านายสุรัตน์ไปหลอกโกงใครมา อีกทั้งวันนี้ตนไปอบรมที่สภาทนายความ ปรากฏว่า ความคิดเห็นของทนายความอีกกว่า 200 คน ก็มีความเห็นในลักษณะเดียวกันตน สุดท้าย คุณสุรัตน์  ชี้แจงว่า เรื่องที่อยากชี้แจงเป็นเรื่องสุดท้าย คือ เรื่องที่ประชาชนสงสัยว่าเหตุใดตนจึงไม่ใช้เงินของตัวเองซื้อควาย ทั้งที่ครอบครัวของตนมีฐานะ ตนอยากให้มองว่าคนอื่นเป็นญาติที่ได้ดิบได้ดี ส่วนตนมีแค่ที่ดิน ภรรยาขายของตลาดนัด ไม่ได้มีเงินทองอะไรมากมาย และไม่อยากไปรบกวนญาติคนอื่น ตนขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาถึงตน ไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อน หรือผู้คนในสังคมออนไลน์ ตนรู้สึกตื้นตันใจทุกครั้งได้รับข้อความให้กำลังใจในขณะที่ตนท้อหรือเจอปัญหา บางครั้งถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่อจากนี้ตนจะเดินหน้ายิ้มสู้กับทุกปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมสร้างรอยยิ้มให้กับเพื่อน ๆ เหมือนเดิม และหากมีการใช้เงินในบัญชีบริจาคที่เหลือ ก็จะมีการชี้แจงอย่างชัดเจนทุกครั้ง

 

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ