
หลักความระมัดระวังในการปฏิบัติ (Precaution) หลักการคุ้มครองพลเรือน (Civilian Protection) คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรหลังกัมพูชาใช้ "พลเรือน" ประกอบกระสุนค. จุดปะทะ ปราสาทตาควาย
กัมพูชาสิ้นเกียรติภูมิ! ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ภาพหลักฐานว่อน ผัวยิง เมียบรรจุกระสุนปืนค. ลูกน้อยไร้เดียงสาอยู่ข้างๆ ไทยประณาม ละเมิดร้ายแรง กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและขัดต่อหลักสากลสำคัญ ได้แก่ หลักความระมัดระวังในการปฏิบัติ (Precaution) และหลักการคุ้มครองพลเรือน (Civilian Protection) ซึ่งทุกฝ่ายจำเป็นต้องเคารพอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ หลักความระมัดระวังในการปฏิบัติ (Precaution) และหลักการคุ้มครองพลเรือน (Civilian Protection) เป็นแกนกลางของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของพฤติกรรมในสงคราม ไม่ว่าฝ่ายใดจะอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงหรือการป้องกันตนเองเพียงใด ก็ไม่สามารถละเมิดหลักการเหล่านี้ได้ เพราะเป็นกฎสากลที่ใช้กับทุกรัฐและทุกกองกำลังติดอาวุธ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีภาพปรากฏชัดว่า ทหารกัมพูชาใช้ภรรยาและเด็กอยู่ในพื้นที่ประกอบ กระสุนปืน ค. บริเวณปราสาทตาควาย การกระทำนี้ถูกจัดเป็นการใช้พลเรือนเป็นแนวสู้รบหรือโล่มนุษย์ ซึ่งเป็นการละเมิดร้ายแรงตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลัก Precaution และหลัก Civilian Protection ดังนี้
หลัก Precaution ระบุว่า คู่ขัดแย้งกันต้องดำเนินมาตรการทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อลดความเสี่ยงต่อพลเรือนและทรัพย์สินพลเรือนในปฏิบัติการทางทหาร ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการโจมตี หลักนี้ปรากฏชัดในพิธีสารเพิ่มเติมแห่งเจนีวาฉบับที่ 1 (Additional Protocol I) มาตรา 57 ซึ่งกำหนดว่า
1. ต้องหลีกเลี่ยงการวางกำลังหรือการใช้อาวุธในลักษณะที่ทำให้พลเรือนตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
2. ต้องเลือกวิธีการรบที่ลดผลกระทบข้างเคียงต่อประชาชนให้มากที่สุด
3. ห้ามนำพลเรือนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการรบหรือในบริเวณที่เป็นเป้าหมายของการโจมตี
หลัก Precaution เป็นเกราะป้องกันชีวิตพลเรือนโดยตรง ลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็น และเป็นตัวชี้ความรับผิดชอบของรัฐหรือกองกำลังติดอาวุธว่ามีความเคารพต่อกฎหมายสากลหรือไม่ หากไม่มีการใช้ Precaution หรือจงใจเพิกเฉย ผลคือพลเรือนจะถูกนำไปสู่พื้นที่เสี่ยงโดยตรง ทำให้การสูญเสียมีลักษณะเลี่ยงได้แต่ไม่เลี่ยง ถือเป็นความผิดร้ายแรงในชั้นกฎหมายระหว่างประเทศ
ในกรณีกัมพูชา การให้พลเรือนอยู่ข้างอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนครก และให้มีส่วนร่วมในกระบวนการประกอบกระสุน แสดงถึงการขาด Precaution อย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นการนำพลเรือนเข้าไปอยู่ในจุดที่จะถูกโจมตีทางทหารทันที เป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยตรงและตั้งใจ ไม่ใช่สภาวะจำเป็น
หลักการนี้เป็นหัวใจของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศตามอนุสัญญาเจนีวาและ Additional Protocol I ซึ่งกำหนดว่า
1. พลเรือนต้องได้รับความคุ้มครองจากการปฏิบัติการรบตลอดเวลา
2. ห้ามใช้พลเรือนเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางทหาร เช่น การใช้เป็นโล่มนุษย์ การบังตำแหน่งยิง การขนย้ายอาวุธ
3. ห้ามกำหนดให้พลเรือนเป็นส่วนหนึ่งของการรบ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
4. การโจมตีต้องแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารกับพลเรือนอย่างเคร่งครัด
หลักนี้มีไว้เพื่อยืนยันว่า แม้ในสงคราม มนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือรัฐหรือกองกำลังติดอาวุธ การละเมิดหลักนี้จะถูกจัดว่าเป็นความผิดร้ายแรงต่อกฎหมายมนุษยธรรม เช่น การบังคับใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งถูกจัดเป็นอาชญากรรมสงครามตามธรรมนูญกรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute Article 8)
จากพฤติกรรมที่ปรากฏในคลิปและภาพหลักฐาน กัมพูชาละเมิดหลักทั้งสองข้ออย่างชัดเจน ดังนี้
1. การใช้พลเรือนประกอบกระสุนปืนครกคือการทำให้พลเรือนมีบทบาทในปฏิบัติการรบโดยตรง ซึ่งผิดทั้งหลัก Precaution และหลัก Civilian Protection
2. การมีเด็กอยู่ในพื้นที่แนวสู้รบถือเป็นการนำผู้ที่เปราะบางที่สุดเข้าสู่เขตสู้รบ เป็นการละเมิดมาตรฐานสากลด้านสิทธิเด็กและกฎหมายสงคราม
3. การให้ภรรยาอยู่ข้างอาวุธหนักในระยะยิง แสดงถึงการจงใจใช้พลเรือนเป็นฉากกำบังหรือโล่มนุษย์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมสงครามโดยตรง
4. การกระทำนี้ยังละเมิดหลัก Distinction หรือหลักแยกแยะ (ต้องแยกทหารออกจากพลเรือนอย่างชัดเจน) ทำให้คู่ขัดกันอีกฝ่ายมีความเสี่ยงทำร้ายพลเรือนโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเข้าข่ายใช้พลเรือนเป็นเกราะกำบังให้ทหาร
การใช้พลเรือนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการรบถูกมองว่าเป็นหนึ่งในความผิดร้ายแรงที่สุด เพราะ
1. เป็นการบั่นทอนหลักมนุษยธรรมพื้นฐาน
2. ทำให้พลเรือนตกอยู่ในอันตรายแบบตั้งใจ ไม่ใช่อุบัติเหตุ
3. ทำให้การรบยกระดับความเสี่ยงต่อทั้งพื้นที่ชายแดน และอาจนำไปสู่การสอบสวนหรือแรงกดดันระหว่างประเทศ
4. กระทบต่อความชอบธรรมของรัฐผู้กระทำโดยตรง เพราะเป็นพฤติกรรมที่ถูกประณามในระดับสากล
ในกรณีปราสาทตาควาย การให้พลเรือนช่วยประกอบกระสุนปืนครกและอยู่ในแนวรบ ไม่เพียงขัดต่อหลัก Precaution และหลัก Civilian Protection แต่ยังเข้าข่ายการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และกระทบต่อสถานะความชอบธรรมของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศอย่างหนัก
อ้างอิง :
Advertisement