(18 ส.ค. 2568) พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พระอารามหลวงจังหวัดนครปฐม นำคณะสงฆ์กลับจากโครงการมอบเตียงและรถวีลแชร์ให้กับผู้ป่วย ที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ตอบคำถามสื่อปมโซเชียลตั้งคำถามเคลื่อนย้ายรถหรูออกจากวัดเมื่อวานนี้ จนมีกระแสวิจารณ์หนัก และเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยมีหลายฝ่ายให้ความสนใจและติดตามข้อมูลท่ามกลางกระแสวงการสงฆ์ที่มีประเด็นอยู่ในสังคมหลายเรื่องในขณะนี้
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า เรื่องรถดังกล่าวเป็นรถที่จอดอยู่ที่วัดไผ่ล้อมมาเป็น 10 ปี แล้วเพียงแต่เมื่อวานนี้มีโยมเดินมาถามถึงเรื่องรถดังกล่าว และขอถ่ายภาพจึงบอกให้เอาออกมาถ่ายบริเวณหน้าร้านน้ำตก จากนั้นก็ได้ไปจอดไว้ที่หน้าอาคารศูนย์ไตเทียมวัดไผ่ล้อม เพียงแค่ประมาณ 30 นาที ก็ทยอยขับกลับมา โดยเป็นพนักงานขับรถของวัดเป็นผู้ขับออกไปที่นั่น ไม่คิดว่าจะเกิดเป็นประเด็นขึ้นมา และรถดังกล่าวทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นรถหรู แต่เป็นรถโบราณที่มีอายุมากกว่าอาตมา ซึ่งเป็นรถที่มีลูกศิษย์มาถวาย โดยยังมีรถจักรยานยนต์เก่าตั้งแต่ยุคแปดศูนย์จอดอยู่ด้านหลังของวัดด้วย
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อว่า ปกติวัดไผ่ล้อมจะมีการเปิดประตูตั้งแต่ช่วง 6 โมงเช้า เนื่องจากจะมีโยมเข้ามาที่โรงพยาบาลนครปฐม สาขาวัดไผ่ล้อม เพื่อเจาะเลือดและตรวจร่างกาย และปกติตอนนี้พระที่วัดมีจำนวน 40 รูป เป็นพระใหม่ที่บวชพรรษานี้ 17 รูป และพระเก่า 23 รูป ก็ยังอยู่กันครบ ส่วนประเด็นว่ามีการขนของใส่กล่องจำนวน 30 กล่องน่าจะเป็นช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเศษ ที่เป็นจังหวะที่มีการถ่ายภาพรถและมีคณะสงฆ์ขับขี่รถจักรยานยนต์พ่วงหลัง โดยมีถังขยะอยู่ที่ด้านท้ายจะนำขยะไปทิ้งบริเวณฝั่งตรงข้าม ก็คือที่บริเวณด้านหน้าอาคารศูนย์ไตเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมีคำถามว่ากังวลใจกับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่กังวลใจ เพราะถือว่าคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อมทำงานอยู่ในกรอบและทำงานเป็นลักษณะของคณะสงฆ์ จ.นครปฐม ในการทำงานด้านสาธารณะสงเคราะห์และศึกษาสงเคราะห์ ซึ่งตอนนี้ได้มีการเตรียมเปิดศูนย์ไตเทียมวัดไผ่ล้อม ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้กับญาติโยมได้อย่างมหาศาลมหา และชัดเจนว่าวัดไผ่ล้อมไม่ได้มีการเปิดรับบริจาคแต่อย่างใด
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า ตอนนี้พระพุทธศาสนาก็ดูจะย่ำแย่แล้ว ซึ่งสิ่งที่มีการพูดถึงกระแสดังกล่าวในทางไม่ดีของวัดไผ่ล้อมอาตมาก็ได้แต่ปลงและทำใจ ก็ไม่คิดจะไปแก้ตัวอะไร สิ่งเดียวที่จะทำได้ก็คือการทำความดีเพื่อแสดงความชัดเจนให้ญาติโยมได้เห็น และพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งอาตมาก็ได้กำชับคณะสงฆ์ว่าเราจะต้องปฏิบัติให้อยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบวินัย เพราะวัดไผ่ล้อมได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระอารามหลวง การปฏิบัติตนของคณะสงฆ์จึงจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและทำอย่างจริงจัง
"สำหรับประเด็นที่มีผู้สื่อข่าวถามอาตมาว่า รู้สึกโกรธเรื่องนี้หรือไม่ อาตมาก็บอกได้ว่าอาตมาเข้าใจตัวเองดีว่าเป็นพระที่พูดเสียงดังพูดไม่เพราะ แต่อาตมาก็ใช้หัวใจในการทำงานอย่างเต็มที่ ภาพภายนอกอาจจะดูแล้วไม่ชอบใจ แต่อาตมาทำอะไรก็จะใช้หลักการทำด้วยเหตุผล และย้ำกับตัวเองและคณะสงฆ์ว่า เราต้องอยู่ให้วัดอาศัยไม่ใช่ไปอาศัยให้วัดอยู่ ส่วนใครจะมองไม่ดีเราก็แก้ตัวไม่ได้ เราก็มีหน้าที่ทำดีให้เขาดู และเรื่องนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธใคร แต่อยากจะบอกโยมว่าหากจะเสพสื่อทางด้านโซเชียลจำเป็นจะต้องมีการพิจารณาให้มากขึ้นให้ถ้วนถี่มากขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหา ส่วนโยมมาถามว่าคนที่ให้ข่าวและโจมตีจะมีการดำเนินคดีหรือไม่ อาตมามองว่าส่วนตัวนั้นไม่คิด แต่ก็อยู่ที่คณะทำงานของวัดว่าเขาจะดำเนินการอย่างไร อันนั้นอาตมาก็ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ตามกระบวนการ จะไม่ไปสั่งการก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ" หลวงพี่น้ำฝน กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังคณะทำงานและไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อมพระอารามหลวงว่า กรณีที่เพจดังและมีอินฟลูเอ็นเซอร์บางคนได้มีการแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดลักษณะเหมือนสร้างความขัดข้องใจ หรือจัดทัวร์มาลงว่าจะมีการดำเนินคดีกับใครบ้างหรืออย่างไร ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งกลับมาว่า มีบางคนที่ออกมาพูดชัดเจนเข้าข่ายหมิ่นประมาททางคอมพิวเตอร์และมีหลายคอมเมนต์ที่เข้าข่าย ซึ่งในส่วนหลวงพี่น้ำฝนอาจจะไม่ดำเนินคดี แต่ทางไวยาวัจกรเห็นว่า จะต้องมีการติดตามดำเนินคดีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และสร้างความเป็นธรรมให้กับวัดไผ่ล้อม ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกค้าแสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้ด้วย
Advertisement