วันที่ 15 ส.ค. 68 นาย มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พร้อมคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียนและรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาจำนวน 33 ประเทศ ลงพื้นที่ใกล้เคียงหน่วยปฏิบัติการภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานเก็บกู้และตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ โดยมีสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์ ผลการเก็บกู้และยึดคืนอาวุธ
เจ้าหน้าที่จากกองพลทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 รายงานสรุปผลการปฏิบัติงานต่อคณะผู้สังเกตการณ์ว่า ที่ผ่านมาสามารถเก็บกู้และตรวจยึดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้แล้วทั้งสิ้น 46 ทุ่น โดยในจำนวนนี้มี 16 ทุ่นอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิดดักรถถัง, ลูกจรวด RPG และลูกระเบิดขนาด 60 และ 82 มม.
เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า แม้จะมีการประกาศหยุดยิงระหว่างสองประเทศมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ทหารไทยยังคงปฏิบัติภารกิจตรวจค้นในเขตพื้นที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงพบทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ของฝ่ายกัมพูชาอยู่เป็นระยะ
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตรวจพบส่วนใหญ่จะถูกฝังอยู่ไม่ลึกจากพื้นดิน และอำพรางด้วยดินและเศษใบไม้ ซึ่งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการค้นหา ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เหยียบจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของรองเท้าที่สวมใส่
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ที่ตรวจยึดได้ว่า แม้อาวุธบางส่วนจะดูเก่า แต่ไม่ใช่เป็นอาวุธรุ่นโบราณ เพียงแต่มีสภาพทรุดโทรมจากการเก็บรักษาที่ไม่ดี
หนึ่งในคณะทูตได้สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงการตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลครั้งล่าสุด ซึ่งได้รับคำตอบว่าเพิ่งพบเมื่อ 3 วันที่ผ่านมาในพื้นที่ฐานปฏิบัติการภูมะเขือ เจ้าหน้าที่ทหารไม่สามารถให้ข้อมูลแหล่งที่มาของยุทโธปกรณ์ที่ตรวจพบได้ เนื่องจากเป็นประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับประเทศที่สาม
ช่วงท้ายของการเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่ทหารเรือได้สาธิตวิธีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับชม พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศร่วมบรรยายเป็นภาษาอังกฤษประกอบเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
จากนั้นยังได้ลงพื้นที่ เพื่อสังเกตการณ์บ้านเรือนของประชาชน ในอำเภอกันทรลักษ์ ที่ได้รับผลกระทบจากจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ที่ไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่จุดดังกล่าว อยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนประมาณ 5 กิโลเมตร โดยบริเวณตำบลเสาธงชัย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกกระสุนของฝั่งกัมพูชาหนาแน่นที่สุด มีบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก แต่สาเหตุที่ทำให้มีจำนวนผู้ได้รับผลกระทบบาดเจ็บน้อย เนื่องจาก พื้นที่ได้มีการอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยก่อน เพราะกัมพูชาได้มีการโจมตีในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ก่อน จึงสามารถรักษาชีวิตของประชาชนไว้ได้ แต่ปัจจุบันประชาชนได้กลับเข้าพักที่อาศัยของตนแล้ว แต่บ้านเรือนที่เสียหายบางหลัง ก็ยังไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้ ซึ่งประชาชนยังต้องไปพำนักอยู่กับญาติ
Advertisement