กรณีนายสิระ ได้เดินพร้อมกับ พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พ.ต.อ.ชัชชัย วงค์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ตำรวจชุดทำงาน ชาวบ้าน เดินขึ้นภูเหล็กไฟ เมื่อวันที่ 21 ก.ค.63 ที่ผ่านมา
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
โดยพ.ต.อ.ชัชชัย วงค์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ระบุว่า เสื้อกีฬากึ่งเสื้อกล้ามสีขาว ตอนนี้ยังหาไม่พบ เป็นชุดที่เด็กสวมใส่ครั้งสุดท้ายก่อนจะหายตัวไป
เมื่อเทียบชุดวันที่ 11 พ.ค.63 ชมพู่ใส่ชุดเสื้อกล้ามสีขาวลายการ์ตูน ปัจจุบันยังหาไม่พบ ส่วนกางเกงขาสั้นสีแดง ลายการ์ตูน รองเท้าแตะสีฟ้า ขณะที่พยานบอกว่า เห็นใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นสีเขียว หรือน้ำเงินลายการ์ตูน และสวมรองเท้าแตะสีฟ้า
ล่าสุดวันที่ 18 ส.ค.63 นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ ให้ข้อมูล ถ้า ส. เป็นตนและตำรวจเรียกไปเป็นการสอบปากคำเพิ่มเติม ก็ยินดีให้ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ และไม่กลัวว่าจะเป็นคนใกล้ตัว เพราะถ้าหากคน ๆ นั้นกล้าทำร้ายชมพู่ ต่อให้เป็นคนใกล้ตัวตนก็ไม่สน และจะไม่ให้ความช่วยเหลือ
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ เปิดเผยว่า ตนเองไม่ได้กังวลอะไร รวมถึงตัวป้าแต๋นเองด้วย ถึงแม้จะมีชื่อตรงกับอักษรย่อ เพราะความจริงแล้วป้าแต๋นไม่ได้อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุอยู่แล้ว อีกทั้งป้าแต๋นก็อยู่กับตนตลอด ทั้งเวลาที่น้องสะดิ้งบอกตอนที่ระบุว่าหลับ และตอนที่เปลี่ยนเวลาใหม่ ป้าแต๋นก็อยู่บ้าน ซึ่งค่อนข้างมีเวลาที่ชัดเจน ตนเองไม่ได้มีอะไรคิดมาก ตนทำใจให้สบาย อะไรจะเกิดก็เกิด
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายธนกฤต หลาบโพธิ์ สามีผู้ใหญ่บ้านขัวสูง ถึงกรณีนางกะทิ ที่เห็นชายปริศนาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า โซนิค สีน้ำเงินขาว เข้ามานำเด็กออกไปจากหมู่บ้าน
โดยนายธนกฤต กล่าวว่า ที่หมู่บ้านขัวสูง เคยมีรถจักยานยนต์ฮอนด้า โซนิค อยู่เพียงคันเดียว เพราะเป็นรถที่ชาวบ้านไม่ค่อยนิยมใช้ ซึ่งคันดังกล่าวก็เป็นสีน้ำเงินดำ ไม่ใช่สีน้ำเงินขาว เเละเจ้าของก็ขายไปตั้งเเต่ปีที่เเล้ว ทำให้ปัจจุบันในหมู่บ้านไม่มีรถโซนิค
ส่วนพฤติกรรมของชายปริศนาที่นางกะทิเห็น ตนก็มองว่าน่าสงสัย ซึ่งหากเด็กที่ถูกนำออกไปเป็นน้องชมพู่จริง ตนก็คิดว่าคนก่อเหตุต้องเป็นคนใกล้ตัวที่มีความสนิทสนมกับน้องชมพู่ เพราะหากเป็นคนที่อื่นเด็กก็ต้องดิ้นเเละร้อง ดังนั้นตนจึงเชื่อมาโดยตลอดว่า คนก่อเหตุต้องเป็นคนในพื้นที่
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้สำรวจรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า โซนิค ในพื้นที่หมู่บ้านกวนบุ่น ห่างจากบ้านกกกอก 5 กิโลเมตร พบว่ามีจำนวน 2 คัน คือรถของนายลม เป็นโซนิคสีดำ ไม่ติดเเผ่นป้ายทะเบียน เจ้าของรถยืนยันว่าไม่เคยเปลี่ยนสีรถ เเละในวันที่ 11 พ.ค.63 ไม่ได้ไปที่หมู่บ้านกกกอก
ส่วนรถของนายม็อบ เป็นรถโซนิค สีน้ำเงิน ไม่ติดเเผ่นป้ายทะเบียน โดยเจ้าของระบุว่า เป็นรถมือสองซื้อต่อมา 2 ปี จากร้านขายรถเเห่งหนึ่งในอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร ซึ่งนายม็อบ ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ได้ไปหมู่บ้านกกกอกในวันที่น้องชมพู่หาย
โดยเปิดเผยไทม์ไลน์กับทีมข่าวว่า วันที่ 11 พ.ค.63 ตนขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวออกจากบ้าน ในเวลา 06.00 น. เพื่อไปซื้ออะไหล่เเต่งรถในตัวเมืองสกลนคร จากนั้นกลับมาบ้านในเวลา 12.00 น. เเล้วก็ซ่อมรถอยู่ที่บ้านทั้งวัน ไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. จึงทราบข่าวว่าบ้านกกกอกมีเด็กหาย
นายม็อบ กล่าวว่า ตนไม่ค่อยได้ไปหมู่บ้านกกกอก ที่ผ่านมาก็เเค่เป็นการขี่รถผ่าน ไม่ได้เเวะหรือสุงสิงกับใคร เเละไปครั้งสุดท้ายก็ก่อนน้องชมพู่หาย ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งรถของตนสีน้ำเงินล้วน ไม่ใช่สีน้ำเงินขาว ตนนำสมุดเล่มทะเบียนรถมายืนยันว่า สีรถนั้นตรงกับเล่มทะเบียน ไม่เคยเปลี่ยน ส่วนหมวกโม่งไหมพรม ตนไม่มีสีม่วง มีเฉพาะสีลายเลือดหมู-ขาว ใส่เฉพาะไปไร่ไปนา ไม่เคยใส่ไปหมู่บ้านกกกอก จึงนำหมวกที่เคยใส่มาเเสดงกับทีมข่าว
นายม็อบ ยังกล่าวอีกว่ารถจักรยานยนต์โซนิค เป็นรถที่นิยมเฉพาะกลุ่ม ปัจจุบันจึงหายาก เเละผู้ครอบครองหรือนิยมเเต่ง ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนสีรถกันบ่อย เเทบจะไม่มีสีเดิม ซึ่งตนก็ไม่เคยเห็นใครขี่โซนิคสีน้ำเงินขาวเลย นอกจากนี้รถของตนมีการเเต่งท่อ เสียงจะดังกว่ารถเดิม ๆ ซึ่งถ้าหากตนขี่รถออกไปที่ไหน ชาวบ้านก็จะได้ยินกันทั้งหมู่บ้าน ตนสตาร์ตรถให้ทีมข่าวฟังเสียงว่า รถเสียงดัง ไม่เหมือนกับรถที่นางกะทิเห็นเเละได้ยินเสียง
ส่วนอีกคัน คือ รถของนายลม เป็นโซนิคสีดำ ไม่ติดเเผ่นป้ายทะเบียน เจ้าของรถยืนยันว่าไม่เคยเปลี่ยนสีรถ เเละในวันที่ 11 พ.ค.63 ไม่ได้ไปที่หมู่บ้านกกกอก
Advertisement