ลุงป้าไม่เชื่อชมพู่ถูกก้านมะยมตีตาย แจงไม่เห็นรอย หมอชี้ถ้าช็อกดับเป็นไปได้ (คลิป)

กรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาไลฟ์สดแสดงความคิดเห็น การตายชมพู่ โดยได้วิเคราะห์จากผลการชันสูตรของทีมแพทย์ น้องชมพู่ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส บาดแผลที่เกิดขึ้น เกิดก่อนเสียชีวิตไม่นาน โดนลงโทษเป็นรอยแผลตามแผ่นหลัง ลำตัว และแขนขา น้องชมพู่ไม่ได้หิวข้าว จนเป็นลมแล้วเสียชีวิตอย่างแน่นอน

คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่ 

แผลที่เกิดขึ้น เช่นหญ้าคาบาด จะเป็นแผลเปิด บาดแผลที่เห็นจากศพ เป็นเพราะน้องชมพู่ถูกลงโทษ และต้องไปขยายผลว่า ใครเป็นผู้ที่ตีเด็กจนตาย โดยแผลที่เกิดขึ้นที่ก้นที่ขา เป็นรอยที่น้องถูกตีทรมานเด็ก น้องจึงมีอาการช็อกตาย ตาค้างมือเกร็งอย่างทรมาน อาจเพราะความกลัวสุดขีด ส่วนเลือดตกปลายขา น่าจะมาจากการยืนเสียชีวิต หลังจากการช็อกตาย

สภาพร่างกายของน้องชมพู่ท่อนบน ได้แก่ สะโพกมีรูบุบ แผ่นหลังพบรอยขีดข่วน ปาก,รูจมูก,หู มีหนอนซอนไซ กระจกตาดำทั้ง 2 ข้างแห้งและเริ่มขุ่น ริมฝีปากเป็นสีม่วง มีสายสิญจน์พันที่ข้อมือขวา 

สภาพร่างกายของน้องชมพู่ท่อนล่าง ได้แก่ ขามีสีเข้มทั้ง 2 ข้าง ข้อเท้าพบรอยขีดข่วน และเท้าเป็นแผลพุพอง 

สำหรับความเห็นผลชันสูตร มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.ลืมตา

2.สายสิญจน์พันข้อมือขวา

3.พบหนอนในรูจมูกและช่องปาก และบริเวณแขนข้างซ้าย 

4.ตรวจพบการตกของเลือดสู่เบื้องต่ำหลังการเสียชีวิต 

5.พบรอยผิวหนังถลอกเก่าหลายรอยตามลำตัว และแขนขา

ล่าสุดวันที่ 20 ก.ค.63 นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ทนายความชื่อดัง ได้เดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเรื่องการดูหมิ่นเหยียดหยามศพ โดยระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า การนำภาพศพที่โป๊เปลือยของน้องชมพู่ ที่เป็นความลับของการสืบสวนสอบสวนมาโพสต์ ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับคดีเลย ไม่ได้ช่วยให้ตำรวจตามหาคนร้ายได้

แต่จะเป็นการยิ่งซ้ำเติมครอบครัว และญาติของน้องชมพู่ไปอีก วันนี้เลยต้องมาดำเนินคดี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเรื่องการดูหมิ่นเหยียดหยามศพให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ทั้งนี้จะได้ไม่เป็นตัวอย่างในอนาคตให้คนที่อยากดัง เอาข้อมูลและเอกสารที่เป็นความลับราชการมาเปิดเผย ไม่ว่าจะคดีน้องชมพู่ หรือคดีไหนก็ตาม หากอยากเป็นพลเมืองดี ได้เอกสารหรือหลักฐานอะไรที่สำคัญกับคดี ควรนำไปให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เอามาโพสต์ดึงดราม่า เรียกยอดไลก์ยอดแชร์ ขอให้คิดถึงครอบครัวและญาติของผู้เสียชีวิตกันบ้าง

 

ด้านแฟนเพจ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม โพสต์ภาพนายอัจฉะริยะ พร้อมข้อความว่า "#การทำความดีมันยาก การช่วยเหลือราชการ กลับถูกแจ้งความดำเนินคดี พรุ่งนี้ก็มีอีกตัว ไปร้องที่สตช. อย่างน้อยสิ่งที่ทำวันนี้ก็มีพลเมืองดี ส่งข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างมาก ๆ ในคดีน้องชมพู่ มาให้ชมรมนำไปมอบต่อให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อนำคนผิดมาลงโทษให้ได้ ขอบคุณทุกกำลังใจ"

ทีมข่าวสอบถาม นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ เปิดเผยว่า กรณีเรื่องบาดแผล ตนเองเห็นแผลก็เห็นว่าเป็นรอยค่อนข้างใหญ่ มันเหมือนกับชมพู่ไปทับอะไรมา ตนก็ตอบไม่ได้ว่าโดนอะไร หากโดนตีก็เป็นไปได้ ส่วนตัวไม่เคยเห็นแผล ตอนน้องชมพู่ไปอยู่กับตนก็ไม่เคยทำร้ายอะไรเขา และไม่เคยเห็นรอยพวกนี้

อย่างรอยหนึ่งที่เหมือนรูปสี่เหลี่ยม รอยค่อนข้างชัด ซึ่งหากเป็นรอยหญ้าเกี่ยวไม่น่าเป็นแบบนี้ ตนว่าเดายาก เพราะไม่รู้ว่าหลานสาวจะไปโดนอะไรมา ส่วนพ่อแม่ชมพู่ ตนก็ไม่เคยเห็นว่าตีลูก จึงตอบไม่ได้ จะเห็นมากสุดก็แค่ดุ ไม่เคยลงไม้ลงมือ

พิสูจน์ต้นมะยมบ้านกกกอก โดยต้นมะยมต้นแรก เป็นต้นมะยมของ นายก้อง (นามสมมติ) ต้นนี้อยู่ตรงข้ามบ้านน้องชมพู่ เพียงแค่ 20 เมตร อายุของต้นมะยม 1 ปี พ่อและแม่น้องชมพู่ไม่เคยมาขอก้านมะยม และไม่เคยเห็นแม่น้องชมพู่ตีลูกด้วยก้านมะยม แต่เห็นนายอนามัย ตีชมพู่ด้วยฝ่ามือแค่เบา ๆ เท่านั้น

ต้นที่สองเป็นต้นมะยมของแม่แอ๋ม มีอายุ 3 ปี อยู่ห่างจากบ้านน้องชมพู่ 70 เมตร โดยแม่แอ๋มไม่เคยเอาก้านมะยมตีลูกหลาน และแม่น้องชมพู่ไม่เคยมาขอก้านมะยมที่บ้านแม่แอ๋ม

ต้นที่ 3 ต้นมะยมของนายแต อายุ 3 ปี อยู่ห่างจากบ้านน้องชมพู่ประมาณ 200 เมตร นายแตไม่เคยเอาก้านมะยมตีลูกหลาน

ต้นที่ 4 ต้นมะยมของแม่พี อายุ 4 ปี ต้นนี้ห่างจากบ้านน้องชมพู่ 180 เมตร และแม่พีไม่เคยเอาก้านมะยมตีลูกหลาน

ต้นที่ 5 ต้นมะยมของตาชาญ (ตาของน้องชมพู่) อายุประมาณ 5 ปี ห่างจากบ้านน้องชมพู่ 150 เมตร โดยตาชาญไม่เคยเอาก้านมะยมตีลูกหลาน

ต้นที่ 6 ต้นมะยมของพ่อแบม อายุประมาณ 4 ปี บ้านพ่อแบมห่างจากบ้านน้องชมพู่ 400 เมตร โดยพ่อแบมไม่เคยเอาก้านมะยมตีลูกหลานเช่นเดียวกัน

ต้นที่ 7 ต้นมะยมของลุงพล ป้าแต๋น โดยทั้งสองคนก็ไม่เคยเอาก้านมะยมตีลูก เนื่องจากก้านมะยมเล็กไป และต้นมะยมบ้านลุงพลก็อยู่ห่างจากบ้านน้องชมพู่ 450 เมตร

ทีมข่าวทดสอบลองใช้ก้านมะยม 3 ก้าน ตีใส่แขนของทีมข่าว ซึ่งจะเห็นมีรอยปรากฏขึ้นชัดเจน ลักษณะเป็นรอยริ้วแดง ไม่มีเลือด ความเจ็บ แสบ ๆ คัน ๆ ไม่เจ็บมาก จะรู้สึกชา ๆ มากกว่า

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ลงพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ไปพูดคุยกับ นางพงศ์สุดา เชื้อคนแข็ง อายุ 51 ปี ย่าของน้องอาชิ เปิดเผยว่า ตอนที่น้องชมพู่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มาเล่นที่บ้านของตนกับน้องอาชิค่อนข้างบ่อย เพราะเป็นเด็กที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งตนก็เป็นคนที่ดูแลน้องชมพู่ด้วย เคยจับน้องชมพู่อาบน้ำพร้อมกับน้องอาชิ

ที่ผ่านมาตนก็ไม่เคยเห็นร่องรอยจากการถูกตีบนร่างกายของน้องชมพู่เลย บริเวณหลังก็ไม่เห็นว่าจะมีรอยขีดเหมือนถูกก้านมะยมตี น้องชมพู่ก็ไม่เคยพูดถึงเลยว่าเคยถูกตี เป็นเด็กที่ร่าเริงสดใส จะงอแงเฉพาะตอนแย่งกันเล่นของเล่นกับน้องอาชิเท่านั้น

ในช่วงวันที่ 10 พ.ค.63 แม่ของน้องอาชิ ก็พาอาชิไปหาน้องชมพู่ที่บ้านของน้องชมพู่ เล่นกันตั้งแต่เช้าจนถึง 17.00 น. ซึ่งแม่ของน้องอาชิไปรับน้องอาชิ ก็เห็นน้องชมพู่ยังอยู่ในอาการปกติ ซึ่งสำหรับคนที่ตั้งข้อสงสัยว่าน้องชมพู่อาจจะถูกตีด้วยก้านมะยมจนขาดใจตายตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.63 ตนมองว่าเป็นไปไม่ได้ ส่วนแผลบริเวณหลังของน้องชมพู่นั้น ตนคิดว่าอาจจะเกิดกิ่งไม้ ใบหญ้า หนามที่ตำและบาดหลังน้องชมพู่ เพราะบนเขาภูเหล็กไฟค่อนข้างรก อีกทั้งช่วงที่น้องชมพู่หายไปนั้นเพิ่งเกิดไฟป่า ก็จะทำให้มีหญ้าแข็ง ๆ ขูดขีดน้องชมพู่

อย่างไรก็ตาม สำหรับพ่อแม่ของน้องชมพู่นั้น เป็นคนที่ไม่เคยทุบตีลูกเลย ถ้าน้องชมพู่ดื้อมาก ๆ ก็จะแค่พูดห้ามเท่านั้น ซึ่งตนก็งงกับคนที่ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงสงสัยในตัวพ่อแม่ของน้องชมพู่ เพราะเท่าที่ตนสังเกตนั้น พ่อแม่ก็รักน้องชมพู่ ดูแลลูกเป็นอย่างดี

ทีมข่าวสอบถาม นางสมพร หลายโพธิ์ ป้าของชมพู่ เปิดเผยว่า หากจะมองว่าก้านมะยมตีเด็กได้หรือไม่ ตนคิดว่าตีได้ แต่น้องไม่เคยถูกตีด้วยก้านมะยม ตนไม่เคยเห็นใครตีด้วยก้านมะยอม อย่างตนก็ไม่เคยตีลูกชายด้วยก้านมะยม จะใช้ไม้อย่างอื่น มันไม่ทันใจ บางทีก็ใช้มือตีเลย ตนคิดว่าแผลที่ตัวน้องชมพู่ น่าจะเป็นแค่รอยเท่านั้น ก้านมะยม มันเล็กนิดเดี่ยว มันคงสู้ไม่หน้าสามไม่ได้ แล้วก้านขนาดนี้คงทำให้เด็กช็อกตายไม่ได้ ตีแล้วเจ็บจริง แต่คงไม่มีใครเอามาตี

ทั้งนี้ตนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่น้องชมพู่จะช็อกเพราะก้านมะยม หากน้องชมพู่งอแง ก็ไม่ค่อยโดนตี ใช้ฝ่ามือตี ซึ่งไม่เจ็บร่างกาย น่าจะเจ็บทางจิตใจมากกว่า

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีลงพื้นที่หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ไปพูดคุยกับ นายนรินทร์ หลาบโพธิ์ หรือ น้าแต น้าของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า สำหรับคนที่ตั้งข้อสังเกตว่า น้องชมพู่ถูกทำร้ายด้วยก้านมะยมจนขาดใจตายนั้น ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะการตีด้วยก้านมะยมนั้นคงไม่ถึงตาย แต่กรณีนี้ก็เป็นความคิดเห็นของผู้วิเคราะห์ ซึ่งในความรู้สึกของตนนั้นรอยแผลที่หลังของน้องชมพู่ คงไม่ได้เกิดขึ้นจากก้านมะยม ซึ่งการตั้งข้อสังเกตเรื่องก้านมะยมนั้น ตนก็ต้องบอกตามตรงว่าหน้าบ้านของตนก็มีต้นมะยม แต่ตนก็ไม่รู้ว่าทำไมผู้ที่วิเคราะห์ถึงคิดว่าน้องชมพู่ถูกตีด้วยก้านมะยม ซึ่งตนก็อยากให้ผู้ติดตามข่าวพิจารณาดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาญาติ ๆ ไม่เคยตีน้องชมพู่เลย แม้จะมีต้นมะยมที่หน้าบ้านของตน ตนก็ไม่กังวลว่าใครจะคิดไม่ดี

สำหรับกรณีที่ผู้วิเคราะห์บอกว่า น้องชมพู่ยืนช็อกตายตาเบิกโพลงถูกทรมานนั้น ถ้าเป็นความจริงอย่างที่ผู้วิเคราะห์พูด ตนคิดว่าตำรวจคงจะมีข้อมูลไปแล้ว ส่วนเรื่องเลือดตกไปอยู่ที่เท้านั้น ตนก็มีโอกาสดูศพของน้องชมพู่แค่ภาพถ่ายเท่านั้น ส่วนสาเหตุการตายหรือเลือดจะตกตรงไหนนั้นตนก็ไม่ทราบ ซึ่งตนก็เคยอ่านผลการตรวจชันสูตรน้องชมพู่ แต่ตนไม่สามารถเปิดเผยได้

ในกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และ กมธ. ลงมาช่วยเหลือนั้น ตนคิดว่าตำรวจน่าจะมีข้อมูลมากพอสมควรแล้ว แต่อาจจะติดขัดเรื่องการเปิดเผยข้อมูลได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับการที่นายอัจฉริยะ ตั้งข้อสงสัยนั้น ตนก็รู้สึกเฉย ๆ ถ้าเขามีข้อมูลดี ๆ ก็ถือเป็นแหล่งข้อมูลดีที่ตำรวจจะได้ทำงาน ส่วนเรื่องการวิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานานั้น มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ข้อมูลที่จะจับคนร้ายได้มันก็เป็นของตำรวจ

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้เดินทางมาพบกับ รศ.นพ. วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อจะสอบถามเรื่องมุมมองด้านนิติเวชศาสตร์ กรณีเรื่องที่นายอัจฉริยะ ออกมาไลฟ์สดแสดงความคิดเห็นเรื่องการตายของน้องชมพู่

รศ.ดร.วีรศักดิ์ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตนได้ดูไลฟ์สดแล้ว ตนจะไม่แสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับนายอัจฉริยะ ตนขอเล่าในส่วนของทฤษฎีทางนิติเวชศาสตร์เท่านั้น กรณีของการตีนั้นทางนิติเวชฯ หากมีไม้มาตีผิวหนังไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แพทย์จะสามารถระบุได้เพียงว่าเป็นการถูกของแข็งบางอย่างกระทบ ซึ่งหากเป็นลักษณะของไม้มะยมมาตี ก็ต้องดูอีกว่าไม้มะยมจะเป็นไม้ขรุขระ ซึ่งไม้มะยมก็สามารถทำให้ถลอกได้เช่นกัน

โดยมุมของการถูกตีนี้ก็มีความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่หากดูในใบชันสูตรของแพทย์ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ซึ่งแพทย์ยืนยันได้เพียงว่าเป็นรอยแผลถลอกเท่านั้น ยังไม่มีการยืนยัน หรือระบุว่าร่องรอยแผลที่เป็นเส้นนั้นเกิดจากวัตถุอะไรกันแน่

หากวันนี้จะตั้งข้อสังเกตเรื่องการถูกตี ก็สามารถเป็นไปได้ทั้งหมด แต่มุมแพทย์ แพทย์ก็ต้องตรวจเปรียบเทียบให้ชัดเจนว่าอะไรเป็นได้มากที่สุด ซึ่งในสิ่งแวดล้อมจากรอยแผลถลอกของผิวหนัง หลายคนอาจบอกว่าเกิดจากตอหญ้าก็เป็นไปได้ แต่ในทางการแพทย์ แพทย์ไม่สามารถระบุเจาะจงว่าน้องไปถูกก้านมะยมตีหรือไม่

ส่วนกรณีอาการกำมือ เบิกตาโพลงนั้น หากมองในทางนิติเวชศาสตร์ มีอยู่โรคหนึ่งที่เป็นอาการตกใจกลัวรุนแรงและทำให้ช็อกเสียชีวิต เรียกว่า “โรคหัวใจสลาย (Broken heart syndrome)” หากนำมาเชื่อมโยงกับการถูกตีจนเสียชีวิตนั้น การจะตรวจหาโรคหัวใจสลาย ในสภาพศพที่เน่าเปื่อยก็ถือว่าค่อนข้างตรวจหายาก แต่การกำมือ เบิกตาโพลง สำหรับประสบการณ์ที่ตนตรวจชันสูตรศพ เรื่องการกำมือ แบมือ หรือเบิกตาโพรลง ถือเป็นเรื่องปกติ ต้องดูสภาวะการเสียชีวิต ทั้งเรื่องความร้อน เรื่องแสงแดด ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้น้ำในเซลล์ผิวหนังระเหยได้รวดเร็ว หากผิวหนังเกิดการแห้งมาก บางครั้งอาจจะดึงรั้งเซลล์ทำให้อวัยวะที่ปิดอาจจะเปิดขึ้นได้

ด้านการตกของเลือดที่ขา หากดูจากใบชันสูตรทราบว่าศพเริ่มเน่า เมื่อแพทย์ชันสูตรนั้น เบื้องต้นจะมีการตรวจการแข็งตัวของกล้ามเนื้อหลังตาย และตรวจการตกลงสู่เบื้องต่ำของโลหิตหลังตาย ซึ่งการตกลงสู่เบื้องต่ำของโลหิตหลังตาย จะเริ่มขึ้นหลังจากคนเสียชีวิตแล้ว โดยในช่วงครึ่งชั่วโมงถึง 2 ชม. ที่นอนเสียชีวิต จะเริ่มเห็นที่รอยบริเวณหลังแต่ไม่ชัดเจน และเวลาจะผ่านไปเรื่อย ๆ เลือดก็จะเริ่มตกมากขึ้น จนเวลาผ่านไปเกินกว่า 6 ชม. เลือดจะตกนิ่ง ไม่เคลื่อนที่แล้ว หากเราไปพลิกตัวดู จะพบรอยแดงปื้น จะเห็นได้ชัดเจนและเลือดไม่ไหลย้อนกลับแล้ว ซึ่งตนเองไม่แน่ใจว่าแพทย์ที่ชันสูตรเห็นรอยบริเวณไหนบ้าง หากเห็นเลือดตกที่ขาอย่างเดียวมีกรณีเปรียบเทียบ เช่น การเสียชีวิตของคนเสียชีวิตท่ายืน ก็จะเห็นเลือดตกที่ขา

ส่วนในกรณีของการอุ้มนั้น ต้องดู 2 เรื่องประกอบ คือ 1.เสียชีวิตแล้วอุ้มเลย หรือ 2.เสียชีวิต 6 ชม. แล้วค่อยอุ้ม ซึ่งหากอุ้มตั้งแต่เสียชีวิตเลย บริเวณส่วนที่ถูกกดทับจากการอุ้มจะไม่มีรอยเลือดตกเลือด จะกลายเป็นรอยขาว แต่เลือดจะไปตกตามที่ต่าง ๆ ที่ต่ำ ๆ แทน แต่หากอุ้มจริง ก็ต้องอุ้มเกินกว่า 6 ชม.ด้วย จึงจะเห็นเลือดตกที่ขาชัดเจน

สุดท้ายในมุมมองของการชันสูตรทางการแพทย์ แผลที่พบภายนอกนั้น ไม่ทำให้น้องเสียชีวิตได้ แต่หากมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่รอยแผลทำให้เกิดความทุกทรมานจนเสียชีวิต กรณีนี้อาจเป็นไปได้น้อย แต่หากเป็นสภาวะหัวใจสลาย (Broken heart syndrome) ตามที่ตนกล่าวไปก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็จะพิสูจน์ได้ยากเพราะศพเน่า

นอกจากนี้ผลทางนิติเวชฯ ก็ยืนยันมาแล้วว่าน้องไม่ได้ถูกทำร้าย และในส่วนของศพที่เริ่มเน่าก็ไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้ หากมีคนทำให้ตายในมุมของหมอคือไม่มี แต่หากเรื่องการอุ้มจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ต้องไปดูในทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในทางการพิสูจน์ของนิติเวชฯ ก็สามารถระบุได้เพียงเท่านี้

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดที่เก็บกู้ศพน้องชมพู่ คือ นายพรศักดิ์ พุฒิวรพันธ์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิการกุศลมุกดาหาร เปิดเผยว่า ได้รับเเจ้งในวันที่ 14 พ.ค.63 เวลา 19.00 น. ว่าพบศพน้องชมพู่ ตนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ รวม 4 คน จึงเดินทางไปยังหมู่บ้านกกกอก เเล้วเริ่มขึ้นภูเหล็กไฟ เวลา 23.30 น. ถึงจุดพบศพ เวลา 00.30 น. เมื่อไปถึงพบว่าเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจ เเละเจ้าหน้าที่อุทยานเเห่งชาติภูผายล อยู่บริเวณดังกล่าวเเล้ว มีการกันพื้นที่ให้ พฐ.เก็บหลักฐาน รอประมาณ 30 นาที ก่อนจะนำศพลงจากภูเหล็กไฟ เวลา 01.00 น. โดยการเเบกศพใส่ที่บ่า ใช้เวลาลงจากภูเหล็กไฟ 30 นาที เเล้วนำศพส่งโรงพยาบาลดงหลวง

นายพรศักดิ์ ยังกล่าวถึงสภาพศพ ว่าอยู่ในสภาพเปลือย เริ่มเน่าเเละส่งกลิ่น โดยกลิ่นโชยออกมาจากบริเวณปากของศพ ซึ่งในปากมีหนอนเเมลงวันเป็นจำนวนมาก คาดว่าเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 2 วัน เเต่ตนไม่สามารถระบุได้ว่าเสียชีวิตเพราะอะไร นอกจากนี้ยังมีรอยขีดข่วนทั่วร่างกาย คาดว่าเป็นรอยหญ้าหรือกิ่งไม้ขีดข่วนระหว่างเดิน เเต่ไม่พบบาดเเผลฉกรรจ์ มีเพียงรูบุบที่สะโพก คล้ายรอยกดทับ เเต่รูดังกล่าวไม่ได้ทะลุผิวหนังเเต่อย่างใด

ส่วนรอยเเผลพุพองบริเวณเท้า เกิดจากความร้อน เกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีเเรกคือเด็กอาจเดินจนเท้าพอง หรือกรณีที่ 2 การพุพองดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นหลังจากเสียชีวิต ถ้าหากสภาพอากาศร้อน หรือเเดดจัด ผิวหนังศพก็อาจเกิดการพุพองได้ ดังนั้นจึงไม่ขอฟันธง ว่าเกิดจากอะไร

พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ อดีตผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ และอดีตสารวัตรกองปราบนครบาล มีความเห็นเรื่องรอยบาดแผลที่ด้านหลัง และบริเวณก้นของน้องชมพู่ว่า น้องชมพู่น่าจะโดนทำโทษด้วยกิ่งไม้ หรือไม้เรียว ก่อนที่จะเสียชีวิต มีรอยตามขา และตามแผ่นหลัง น่าจะโดนทำร้ายอย่างเจ็บปวดมาก

ส่วนจะโดนกิ่งไม้อะไร หรือจะป็นกิ่งไม้มะยมหรือไม่นั้น ตนเองไม่มั่นใจ ยังตอบไม่ได้ บอกได้เพียงว่า เป็นไม้เรียวแน่นอน ส่วนเด็กโดนกิ่งมะยมตี แล้วช็อกตาย ไม่ขอออกความเห็น สันนิษฐานว่าเด็กโดนทำร้ายระหว่างที่ยังไม่ได้กินอาหาร หรือท้องว่าง และอาจจะมีอาการเกร็ง เจ็บปวดอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อแผ่นหลัง และที่ขา น่าจะป็นรอยโดนกิ่งไม้ตี

นายแพทย์สิทธา ลิขิตนุกูล เจ้าของเพจคุณหมอสตอรี่ มีความเห็นเรื่องรอยบาดแผลที่ด้านหลัง และบริเวณก้นของน้องชมพู่ว่า ภาพที่เห็นเป็นรอยเส้น ๆ แผลขีดข่วนบริเวณขา และก้น ส่วนรอยที่แผ่นหลัง จะมีรอยค่อนข้างลึกกว่า กรณีที่น้องชมพู่ จะถูกตีด้วยก้านมะยมนั้น จะเห็นได้ว่า รอยที่ขา และแขน แผลไม่ลึกอาจจะถูกหินข่วน หรือใบหญ้าบาด ก็เป็นไปได้

ส่วนหลังและก้น ค่อนข้างลึกและเป็นแนวยาว ถ้าโดนไม้มะยมตี จะต้องเป็นไม้ที่ใหญ่ และหนามาก ๆ และที่สำคัญจะต้องมีการถอดเสื้อของน้องออก และลงมือตีอย่างแรง

ขณะเดียวกันมองว่า เป็นไปได้ยาก หากมีการจับถอดเสื้อผ้าแล้วตีน้อง เพราะอาจจะมีการต่อสู้หรือดิ้นหนี เด็กอาจจะต้องหกล้ม หรือมีรอยบาดแผลบริเวณส่วนอื่นด้วย พร้อมมองว่า รอยแผลอาจเกิดหลังจากน้องชมพู่เสียชีวิตไปแล้ว และถูกนำศพมาวางวางบนโขดหิน หรือวางที่แท่นหิน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ทิ้งประเด็น เรื่องโดนตี ซึ่งแผลขนาดนั้นอาจจะต้องโดนตีด้วยไม้ และจะต้องเป็นไม้ที่ใหญ่ โดยผู้ก่อเหตุต้องลงมืออย่างรุนแรง ลงมือตีด้วยความโหดเหี้ยม

ส่วนประเด็นที่ตีเด็กด้วยก้านมะยม ต้องตีจำนวนเยอะ ๆ เด็กอาจจะเจ็บและสลบไป แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต ตามแผลที่เห็นคาดว่า เป็นรอยหินมากกว่า

เมื่อสรุปความเป็นไปได้เรื่องก้านมะยม รศ.นพ. วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า "อาจเป็นไปได้ ถ้าเด็กตกใจกลัวอย่างรุนแรง" ส่วนนพ.สิทธา ลิขิตนุกูล บอกว่า "ตีจำนวนเยอะๆ เด็กอาจสลบ แต่ไม่ถึงชีวิต" ด้านพ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ บอกว่า "ไม่ขอออกความเห็น" และพ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ บอกว่า "เป็นไปได้ยาก สำหรับเด็กทั่วไป"

เมื่อสรุปความเป็นไปได้เรื่องรอยบนแผ่นหลัง รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า "ชี้ชัดไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ไม่ทำให้ตาย" ส่วนนพ.สิทธา ลิขิตนุกูล บอกว่า "เกิดจากใบหญ้าหรือหินบาด" ด้านพ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ บอกว่า "ถูกทำโทษจากกิ่งไม้" และพ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ บอกว่า "รอยขีดข่วนกิ่งไม้ใบหญ้าบาด"

เมื่อสรุปความเป็นไปได้เรื่องรอยบริเวณสะโพก รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า "ชี้ชัดไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ไม่ทำให้ตาย" ส่วนนพ.สิทธา ลิขิตนุกูล บอกว่า "เกิดจากใบหญ้าหรือหินบาด" ด้านพ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ บอกว่า "ถูกทำโทษจากกิ่งไม้" และพ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ บอกว่า "รอยขีดข่วนกิ่งไม้ใบหญ้าบาด"