จากกรณี แก๊งค้ายาบ้ายกพวกพร้อมอาวุธครบมือบุกชิงยาเสพติดจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง จ.สงขลา ขณะทำการล่อซื้อจับกุมใน อ.รัตภูมิ ยึดปืนประจำกายของ เจ้าหน้าที่ 5 กระบอก รถเก๋ง 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง และยาบ้าของกลางอีก 10 มัด จำนวน 20,000 เม็ด เหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณ 19.45 น. ของวันที่ 18 ต.ค. 65 ล่าสุดจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 5 ราย
วันที่ 22 ต.ค. 65 ที่ สภ.รัตภูมิ ตำรวจชุดสืบสวนทั้งหมดแบ่งทีมกันออกกระจายกันทำงาน บางส่วนได้ไล่ล่าหาตัวคนร้าย และบางส่วนลงพื้นที่หาเบาะแส ส่วนอีกทีมได้เค้นสอบผู้ต้องหาที่จับตัวได้ เพื่อนำข้อมูลมารวมกัน จากการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ให้การว่า ผู้ก่อเหตุที่ลงมือปล้นของกลางและอาวุธปืนไปจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง มีทั้งหมด 9 คน แบ่งเป็นทีมปล้น 8 คน และคนวางแผนอีก 1 คน
มีรถที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมด 3 คัน คือ รถเก๋งโตโยต้ายาริส สีขาว 1 คัน มีผู้ร่วมก่อเหตุนั่งไปก่อเหตุทั้งหมด 4 คัน, รถเก๋ง โตโยต้าวีออส สีขาว 1 คัน มีผู้ร่วมก่อเหตุนั่งไปก่อเหตุ 2 คน และรถกระบะอีซูซุสีดำ มีผู้ร่วมก่อเหตุนั่งอีก 2 คน รวม 8 คน
ตำรวจได้ตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ ได้แล้วทั้งหมด 5 คน ประกอบด้วย 1.นายเสริมศักดิ์ ศรีสุวรรณ หรือ เสริม อายุ 46 ปี, 2.นายกัมปนาท หมัดอาด้ำ หรือ บังดล อายุ 47 ปี, 3.นายธีระวุฒิ หัวแหวน หรือ เลี่ยม อายุ 28 ปี, 4.นายอัฟฟาน แก้วเรืองศรี หรือ บี อายุ 35 ปี, 5.นายประวิทย์ ฤทธิ์เทวา อายุ 26 ปี และเหลือผู้ต้องหาอีก 4 คน อยู่ระหว่างหลบหนี
ทางการสืบสวน พบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดหลังจากขับรถ 3 คันไปก่อเหตุ ได้ชิงรถเก๋ง มิซูบิชิ แอทราจ สีดำ ของจ่าเอกไพรัช หัวหน้าจุดจับกุม ขับไปทิ้งไว้ในอ่างเก็บน้ำบ้านควนนา หมู่ 7 ต.กำแพงเพชร ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 7.1 กิโลเมตร จากนั้นคนร้ายได้นำปืนจำนวน 3 บอก ที่ใช้ก่อเหตุและยาบ้าที่ชิงไปจำนวน 16,000 เม็ดนำไปซุกซ่อนไว้ในพงหญ้าใต้ป้ายน้ำตกโตนปลิว หมู่ 10 ต.คลองต่อ ห่างจากเกิดเหตุประมาณ 4.4 กิโลเมตร
มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาที่เหลืออยู่อีก 4 คนแล้ว เป็นเครือข่ายนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หนึ่งในนั้น ชื่อนายบ่าว ผู้ต้องหาคนสำคัญ ที่ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ให้การซัดทอดว่าเป็นคนนำปืนของปลัดและ อส.ทั้ง 5 กระบอก ไปฝังดิน ส่วนมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด โดยเฉพาะนายเสริมศักดิ์ เป็นตัวหลักและคนวางแผนทั้งหมด เป็นผลมาจากแก๊งค้ายาเสพติดแก๊งนี้ เข้าใจผิดคิดว่าแก๊งของปลัด และอส. เป็นแก๊งโจรที่จับกุมนายธนกร ซึ่งเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดในกลุ่มเดียวกันไป โดยนายธนกรมีเป็นแหน่งเป็นนักบิน จึงได้ร่วมกันวางแผนบุกชิงตัวผู้ต้องหาจากอีกแก๊ง แต่แก๊งดังกล่าวดันเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ทำการล่อซื้อ จึงเกิดความตกใจ และไม่ได้ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ เพราะกลัวเหตุจะบานปลาย
ขณะเดียวกันช่วงสายวันนี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธรภาค 9 ได้เดินมาที่ สภ.รัตภูมิ เพื่อตรวจหาดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝง รถเก๋งมิตซูบิชิ แอทราจ สีดำ ทะเบียน กจ 5064 กทม. ของจ่าเอกไพรัชเพิ่มเติม หลังคนร้ายได้ชิงรถไป นำไปทิ้งน้ำหลังก่อเหตุ จะเน้นหาดีเอ็นภายในตัวรถเป็นสำคัญ ตรวจหลักฐานอื่นที่อยู่ภายในรถด้วย ส่วนอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ปล้น อส. ทั้งปืน M4 และปืนปืน 9 มม. จำนวน 2 กระบอก เจ้าหน้าที่จะตรวจหลังจากนี้
ขณะที่บรรยากาศที่ สภ.รัตภูมิ ตลอดทั้งวัน มีบรรดาครอบครัวและญาติของผู้ต้องหาที่ถูกจับทยอยเดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจ นางเจริญ ศรีสุวรรณ แม่ของนายเสริมศักดิ์ ศรีสุวรรณ ผู้ต้องหา บอกว่า วันนี้ตนเองและครอบครัวรวมถึงหลานชาย ที่เป็นลูกชายนายเสริมศักดิ์ได้นำกับข้าวและน้ำดื่มจำนวนมากมาเยี่ยมลูกชายที่ถูกจับ ตนเองเพิ่งมาทราบข่าวเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังลูกชายออกทีวีว่า ถูกจับในคดีปล้นชิงของกลางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งค้ายาบ้า ตนเองไม่อยากเชื่อว่าลูกชายจะไปร่วมก่อเหตุแบบนั้น เนื่องจากลูกชายก็เพิ่งพ้นออกจากคุกมาได้ไม่ถึง 4 เดือน
ครั้งล่าสุดที่เจอลูกชายคือ 2 วันก่อน ลูกชายยังโทรศัพท์และเดินทางไปที่บ้านนำกับข้าวมาให้ตนเองและสามีอยู่เลย ลูกชายก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติ โดยลูกชายบอกว่าเดี๋ยวจะออกไปร่วมงานศพกับเพื่อน หลังจากนั้นก็ติดต่อลูกชายไม่ได้อีกเลย ตลอด 2 วันที่ลูกชายหายไป ตนเองพยายามโทรศัพท์ติดต่อลูกชายหลายครั้งแต่ลูกชายก็ไม่รับ กระทั่งวันนี้มาพบว่าถูกตำรวจจับเข้าห้องขัง
ส่วนสาเหตุที่ลูกชายก่อเหตุ พยายามถามลูกชายภายในห้องขังหลังเข้าเยี่ยม แต่ลูกชายกลับเงียบ และไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ส่วนตัวแล้วตนเองไม่เชื่อว่าลูกชายจะก่อเหตุ
เมื่อเวลา 17.30 น. ตำรวจชุดปฎิบัติการพิเศษ และตำรวจชุดสืบสวน สภ.รัตภูมิ ได้ควบคุมตัว ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จุดที่เกิดเหตุ มีพันตำรวจเอกศริโกศล ปราบกรี ผู้กำกับ สภ.รัตภูมิ เป็นผู้นำทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
จุดที่เจ้าหน้าที่พาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีหมด 5 จุด จุดรวมตัวกินก๋วยเตี๋ยวกันที่ หมู่ 7 ต.เขาพระ อ.รัตภูมิ จนถึงจุดที่ลงมือก่อเหตุในพื้นที่หมู่ 11 ต.กำแพง และจุดที่พารถยนต์ไปฝากไว้ โดยจุดสำคัญที่คนร้ายทั้ง 8 รายลงมือชิงของกลางจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจได้นำรถที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมด มาจอดจำลองการทำแผนฯด้วย โดยให้ผู้ต้องหาแต่ละคนนั่งประจำจุดที่ตนเองนั่งไปในวันเกิดเหตุ
ซึ่งระหว่างการทำแผน นายกัปนาท หรือ บังดล หนึ่งในหัวหน้าทีมปล้น ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า เมื่อตนเองมาถึงจุดเกิดเหตุได้มีการถอยรถกระบะรั้วกั้นหันท้ายเข้ารถของจ่าเอกไพรัช ส่วนรถที่ตนเองนั่งคือ ฮอนด้ายาริสขาว ได้ขับมาปาดขวางหน้าไว้ จากนั้นก็ให้เพื่อนของตนเองเอาถุงที่หลอกว่าข้างในมียาเสพติดมอบให้กับอีกฝ่าย ตามข้อตกลงว่าจะแลกของกัน และนำไปใส่ไว้ท้ายรถของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นถุงที่มีการตรวจพบในท้ายรถของจ่าเอกไพรัชที่ถูกนำไปทิ้งในอ่างเก็บน้ำเมื่อวานนี้
หลังจากนั้นตัวเองได้ลงจากรถและถือปืน M4 บอกให้อีกฝ่ายลงมา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมลงจากรถ ตนเองจึงให้อีกฝ่ายลงจากรถ แต่เมื่อลงมา พบว่าไม่มีนายธนกรอยู่ในรถ จึงรู้ว่าถูกหลอก ประกอบกับในรถมีชาย 5 คนอยู่ในรถ ไม่ใช่ 2 คนอย่างที่นัดกันไว้ จึงรู้ว่าถูกหลังหัก ชักปืนข่มขู่ให้ทุกคนลงมาจากรถ ตอนนั้นตัวเองคิดว่าชายกลุ่มนี้คือโจร ไม่ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากฝ่ายปกครอง ซึ่งจังหวะนี้เองที่จ่าเอกไพรัชได้นำบัตรเจ้าหน้าที่ขึ้นมาแสดง หลังจากนั้น ตนเองก็กลัวว่า 5 เจ้าหน้าที่จะต่อสู้ จึงได้จ่อปืนขู่ให้ทุกคนลงจากรถ ยืนเรียงหน้ากระดาน และบังคับให้ถอดเสื้อ ก่อนปลดอาวุธและนำขึ้นรถไปปล่อย ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร
ตนเองขอยืนยันว่า พวกตนเองมากันทั้งหมด 8 คนจริง ไม่ใช่ 20 คนอย่างเจ้าหน้าที่อ้าง และเจ้าหน้าที่แทบจะไม่ได้ต่อสู้พวกตนเองด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
นายเสริมศักดิ์ ผู้ต้องหา ได้ให้การอ้างว่า เหตุการณ์นี้พวกตนเองตั้งใจจะวางแผนชิงตัวนายธนกร ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมยาบ้าซึ่งเป็นลูกทีมของตนเอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจาต่อรองกับปลัดและ อส. ชุดนี้ โดยมีการเรียกเงิน 1 ล้านบาท ยาบ้า 100 เม็ด และไอซ์ 10 กิโลกรัม แต่ต่อรองเหลือแค่ 3 แสนบาท แต่พวกตนเองไม่มีเงินมาจ่ายเงิน จึงร่วมกันวางแผนชิงตัว ตอนที่มีการเจรจากัน พวกตนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นโจรมารู้ขณะลงมือก่อเหตุว่าเป็นปลัดและ อส. และพวกตนเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะชิงยาบ้าแต่อย่างใด
นายเสริมศักดิ์ กล่าวอีกว่า พวกตนเองอยากบอกให้สังคมรับรู้ถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐชุดนี้ที่เรียกรับผลประโยชน์ ตนเองอยู่ในวงการนี้มานาน ก็พอรู้ว่าเจ้าหน้าที่ชุดนี้มีพฤติกรรมแบบนี้ประจำ เป็นชุดที่ทำให้ทั้งคนของรัฐและตำรวจเสียหายหากปล่อยไว้ และอยากขอความเป็นธรรมให้กับกลุ่มพวกตนเองด้วย พวกตนเองเพียงต้องการมาเอาตัวน้องคืน และที่ทำก็เพราะเจ้าหน้าที่เรียกเงินเยอะเกินไป พวกตนเองไม่มี จึงต้องทำแบบนี้ และหากรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ พวกตนเองก็คงไม่ทำ
ขณะเดียวกันเพจ "กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน" โพสต์ชื่นชมและให้กำลังใจฝ่ายปกครอง 6 นาย หลังถูกแก๊งค้ายาบ้า ซ้อนแผนตลบหลังชิงของกลางและอาวุธไปได้ ระบุไว้ว่า ขอยกย่อง ชื่นชมและเป็นกำลังใจ ให้แก่ ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง จ.สงขลา ในการปฏิบัติภารกิจด้านการปราบปรามยาเสพติด ทั้ง 6 นาย ได้แก่ (เรียงจากซ้ายไปขวา)
1. นายหมู่เอก เฉลิมศักดฺิ์ ทองแจ้ง
2. นายหมู่ตรี พิษณุ รัตนอุไร
3. สมาชิกเอก สุทธิพงษ์ สุวรรณชาตรี
4. จ่าเอกไพรัช แก้วมณี (ปลัดอำเภอหัวหน้าชุด)
5. สมาชิก เลิศฤทธิ์ ไชยพฤกษ์กุล
6. สมาชิก อดิศักดิ์ หวังนิ
ที่ผ่านมาชุดปฏิบัติการฯ ชุดนี้ ได้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทและเสียสละตลอดมา เมื่อประมาณเดือนที่ผ่านมา จับยาได้ 3 แสนกว่าเม็ด มีผลงานย้อนหลังในการปราบปรามยาเสพติด ปีละ 100 กว่าเคส
กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน ขอยกย่อง ชื่นชมในการปฏิบัติหน้าที่ของชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง จ.สงขลา ทั้ง 6 นาย และขอเป็นกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประเทศชาติต่อไป"
ส่วนแม่ของนายกัปนาท หรือ บังดล ผู้ต้องหา เดินทางเอาข้าวมาให้ลูกชายที่ถูกจับเช่นเดียวกัน ทีมข่าวพยายามสอบถามแม่ของบังดล ให้ข้อมูลสั้น ๆ ว่า ตนเองไม่ทราบว่าลูกชายไปก่อเรื่องอะไรมา แต่เห็นจากข่าวเมื่อคืน จึงรีบเดินทางมาเยี่ยมชาย ส่วนลูกชายจะร่วมกับแก๊งยาเสพติดก่อเหตุจริงหรือไม่นั้นตนเองไม่รู้ แต่ก็ไม่อยากเชื่อ เพราะที่ผ่านมาลูกชายไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดเลย
Advertisement