
เมื่อเวลา 01.40 น. วันที่ 30 ก.ย. 65 ตำรวจ สภ.นาขยาด จ.พัทลุง รับแจ้งจากพลเมืองดี มีเหตุฆ่ากันตายบนถนนในหมู่บ้าน ท้องที่ บ.ขันหมู หมู่ 10 ต.นาขยาด อ.ควนขนุน

ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบศพ นายศุภมิตร จันดี อายุ 33 ปี สภาพศพนอนหายเสียชีวิต นุ่งผ้าถุงผืนเดียว มีบาดแผลถูกแทงด้วยเหล็กแหลมบนศีรษะ ใต้คางและแขนรวม 4 จุด ใกล้ศพพบเหล็กแหลมยาวประมาณ 120 ซม. ซึ่งเป็นเหล็กที่ทำขึ้นเพื่อใช้เก็บขยะ ถูกทิ้งอยู่ปลายเหล็กชุ่มไปด้วยเลือดเจ้าหน้าที่จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน

ล่าสุดหลังเกิดเหตุที่ห้องสอบสวน สภ.นาขยาด ตำรวจชุดสืบสวน ได้ควบคุมตัว นายเฟรม อายุ 17 ปี น้องชายแท้ ๆ ของ น.ส.ดารารัตน์ ภรรยาผู้ตาย มาสอบปากคำ ต่อหน้าสหวิชาชีพ จากการสอบถาม นายเฟรม ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุใช้เหล็กแหลมแทง นายศุภมิตร ซึ่งเป็นพี่เขยจริง
โดยก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณตี 1 ตนเองได้ยินเสียงพี่สาวและพี่เขยทะเลาะและมีการลงไม้ลงมือกันในบ้าน ซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่ก็อยู่ภายในบ้านด้วย จากนั้นเห็นพี่สาวได้วิ่งหนีตายออกจากบ้าน และวิ่งไปตามถนน โดยมีพี่เขยถือมีดไล่ตาม ด้วยความเป็นห่วงพี่สาวกลัวจะถูกพี่เขยทำร้าย เพราะพ่อแม่ก็แก่แล้ว คงห้ามพี่เขยไม่ไหวจึงได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตาม


แต่เมื่อมาถึงระหว่างทางกลับไม่เห็นพี่สาวเห็นเพียงแต่พี่เขย กำลังยืนถือเหล็กแหลมและเหล็กขูดชาร์ปยืนอยู่กลางถนน จึงจอดรถและเข้าไปถามว่า “พี่สาวอยู่ไหนทำร้ายพี่สาวทำไม” แต่ตอนนั้นนายศุภมิตร พูดจาไม่รู้เรื่อง และได้หันกลับมาใช้เหล็กแหลมจะแทงเข้าตนเองจึงเกิดการต่อสู้ยื้อแย่งเหล็กกันเกิดขึ้น จากนั้นนายศุภมิตรได้พลาดท่าถูกเหล็กแหลมแทงจนล้มลง จากนั้นตนเองจึงกลับไปที่บ้าน และรอแม่ที่กลับไปส่งพี่สาวที่โรงพยาบาลพาเข้ามอบตัวกับตำรวจทันที
โดยระหว่างที่ตำรวจพาตัวนายเฟรม เข้าห้องสอบปากคำ ทีมข่าวพยายามสอบถามตัวน้องว่า ทำไปเพราะป้องกันตัวใช่ไหม ช่วยพี่สาวใช่ไหมเจ้าตัวได้แต่ก้มหน้าและพูดสั้น ๆ ว่า “ครับ”

ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิด หลังจาก น.ส.ดารารัตน์ ถูกสามี ใช้เหล็กแหลมเเทงจนเจ็บภายในบ้าน หลังจากนั้น แม่ของ น.ส.ดารารัตน์ ได้เจอลูกสาวเดินอยู่กลางทาง จึงได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์พาลูกสาวซ้อนท้ายไปที่ สภ.นาขยาด ซึ่งห่างที่บ้านเกิดเหตุประมาณ 1.4 กิโลเมตร
ในขณะกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าเทศบาล ต.นาขยาด ช่วงเวลาประมาณ 02.25 น. จะเห็นว่า น.ส.ดารารัตน์ ได้ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์สีน้ำเงินของแม่ โดยสภาพตัวยังนุ้งผ้าถุงอยู่ ขับผ่านแยกก่อนจะเลี้ยวเข้าโรงพักไป จากนั้นผ่านไป 5 นาที เวลาประมาณ 02.30 น. แม่และน.ส.ดารารัตน์ ได้พากันซ้อนท้าย ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากโรงพัก โดยไม่ได้ย้อนกลับเส้นทางเดิมเพื่อกลับบ้านไปเปลี่ยนรถกระบะ เนื่องจากตอนนั้น น.ส.ดารารัตน์ ยังไม่รู้ว่าสามีถูกแทงเสียชีวิตและซึ่งทั้งคู่กลัวว่า นายศุภมิตร จะเดินตามมาทำร้าย

หลังจากนั้นกล้องวงจรปิดตัวที่ 3 หลังจาก น.ส.ดารารัตน์ กลับไปบ้านเพื่อเปลี่ยนเป็นรถกระบะ ได้ขับรถออกจากซอยเพื่อไปโรงพยาบาล ซึ่งระหว่างนี้เองที่เจ้าตัวไปพบสามีตัวเองนอนเสียชีวิตอยู่กลางถนน

ด้าน น.ส.ดารารัตน์ สงนุ้ย อายุ 26 ปี ภรรยาของผู้ตาย เล่าให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเองเพิ่งอาบน้ำเสร็จ และกำลังล้มตัวลงนอน ส่วนสามีมีอาการหลอนยาตาขวาง และพูดวนคนเดียวว่า มีคนจะตามมาฆ่า จากนั้นไม่นานสามีก็นั่งหัวเราะสลับกันไปมา และเที่ยวเดินเปิดประตูเข้าออกห้องเสียงดัง
ด้วยความรำคาญที่สามีไม่ยอมนอนหลับสักที จึงบอกกับสามีว่า “อย่าเสียงดังได้ไหม จะนอน” จากนั้นสามีได้หันมามองตาแข็งใส่ และเดินเข้ามาตบหน้า เอามือบีบคอตนเอง พร้อมกับบอกว่า “ถ้ามึงออกจากห้องมึงตาย!” ตอนนั้นตนเองตกใจมากไม่รู้ว่าสามีหลอนยาอะไร จากนั้นสามีได้เดินไปหยิบเหล็กแหลมยาวและเหล็กขูดชาร์ป ก่อนที่จะพูดกับตนเองอีกว่า “ไปเข้านอน ถ้าไม่นอนกูจะแทง”

แต่ยังไม่ทันขาดคำ สามีก็ได้เอาเหล็กแหลมจะแทงเข้าบริเวณหน้าท้อง และพูดว่า “มึงต้องตาย ๆ!” ตอนนั้นตนเองไม่รู้จะสู้อย่างไรจึงได้ใช้แขนขวายกกันไว้ทันทำให้ได้รับบาดเจ็บที่แขนแทน เมื่อถูกสามีใช้เหล็กแทงเสร็จ ตนเองได้ร้องขอชีวิตกับสามีแต่สามีพูดว่า “มึงวิ่งไปเลย ๆ แต่ถ้ากูตามทันมึงตาย” ตนเองจึงวิ่งออกจากบ้านไปตามถนนเพื่อหนีตายเอาชีวิตรอด และจะไปแจ้งความกับตำรวจที่โรงพัก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ทั้ง ๆ ที่ตัวยังนุ่งผ้าถุงอยู่ และผ้าถุงเต็มไปด้วยเลือด
ตอนนั้นตนเองคิดว่า ไม่รอดแน่ ๆ ตนเองต้องตายแน่ ๆ แต่ระหว่างทางไปโรงพัก โชคดีที่น้องชายของตนเองที่เห็นเหตุการณ์อยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงตนเองกับสามีทะเลาะกัน ได้ขี่รอมอเตอร์ไซค์ไล่ตามหาตนเอง ซึ่งระหว่างทางที่น้องชายขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามหาตนเอง ได้ไปเจอกับสามี กำลังถือเหล็กแหลมและเหล็กขูดชาร์ปไล่ตามบนถนน แต่ไม่เห็นตนเอง จึงคิดว่า สามีฆ่าพี่สาวไปแล้ว น้องชายจึงได้เข้าไปสอบถามสามีว่า “พี่สาวกูอยู่ไหน มึงทำอะไรพี่สาวกู”
แต่สามีตอนนั้นหลอนยาพูดไม่รู้เรื่อง และหันกลับมาจะเอาเหล็กเสียบน้องชาย น้องชายจึงพยายามยื้อแย่งต่อสู้กัน ซึ่งขณะนั้นตนเองเกือบจะเดินถึงโรงพักแล้ว และแม่ของตนเองได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาเจอตนเองพอดี จึงรีบซ้อนท้ายพามาที่โรงพักโดยไม่รู้ว่าน้องชายกำลังต่อสู้อยู่กับสามี
เมื่อมาถึงโรงพัก ด้วยความที่ตนเองบาดเจ็บเลือดไหลมาก จึงวนรถกลับบ้านไปเอารถกระบะ เพื่อเปลี่ยนไปส่งตนเองที่โรงพยาบาลแทน แต่ระหว่างทางไปโรงพยาบาลตนเองกลับเห็นสามีนอนอยู่บนถนน จึงได้เปิดกระจกถามว่าสามีเป็นอะไรมากไหม แต่ชาวบ้านและน้องชายบอกว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ตอนนั้นตนเองจึงกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ และเป็นลมหมดสติไป มารู้ทีหลังว่าน้องชายนั้นเป็นคนตามมาช่วยตนเองและต่อสู้กับสามีเพื่อไม่ให้ตนเองถูกฆ่า ซึ่งตนเองก็เสียใจมาก และอยากให้ตำรวจอย่าแจ้งข้อหาเอาผิดน้องชายตนเองเลย เพราะหากน้องชายไม่ช่วยตนเองคืนนั้นตนเองต้องถูกสามีฆ่าตายแน่ ๆ

ทีมข่าวเดินทางไปที่วัดโคกโดน สถานที่จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้ามีบรรดาญาติและคนรู้จักเดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจ

นายประสิทธิ์ จันดี อายุ 56 ปี พ่อของ นายศุภมิตร ผู้ตายเล่า ให้ทีมข่าวฟังว่า ลูกชายตนเองก่อนจะเสียชีวิตได้เดินทางกลับมาที่บ้าน ที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 65 จริง และเดินทางกลับวันที่ 26 ก.ย. 65 ตลอดระยะเวลาที่ลูกชายอยู่ที่บ้านยืนยันว่าลูกชายไม่มีพฤติกรรมเสพยาบ้า หรือดื่มเหล้าเมาแม้แต่นิดเดียว มีเพียงต้มน้ำกระท่อมดื่มเล็กน้อยเท่านั้น
การที่ น.ส.ดารารัตน์ ลูกสะใภ้ อ้างว่า ลูกชายมีอาการหลอนยาแล้วมีอาการคล้ายกับถูกผีเข้าตนเองไม่เชื่อ และคิดว่านี่คือการพูดเบี่ยงประเด็น ที่จริงแล้วครอบครัวของลูกสะใภ้น่าจะจัดฉากฆ่าลูกชายตนเองมากกว่า
ก่อนหน้านี้ลูกชายเคยมาเล่าให้ฟังว่า มีญาติของ น.ส.ดารารัตน์ คนหนึ่งได้ไปหยิบยืมเงินของลูกชายไปจำนวนหนึ่งหลังจากนั้นญาติคนนี้ไม่ใช้เงินคืน แต่กลับขอยืมเงินอีกเป็นครั้งที่สองลูกชายจึงปฏิเสธไป ก่อนที่จะมีปากเสียงกระทบกระทั่งกันขึ้น ซึ่งตนเองเชื่อว่า ลูกชายน่าจะถูกฆ่าเพื่อล้างหนี้มากกว่า
Advertisement