ทำไมอายุ "45 ปี" จึงกลายเป็นตัวเลขใหม่ของ Early Retire เกษียณก่อนวัย วิธีปรับตัว อัปสกิลสู้ AI
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตัวเลข "เกษียณก่อนวัย" หรือ Early Retire มักถูกผูกโยงกับกลุ่มอายุ 50–55 ปีขึ้นไป เพราะถือว่าเป็นวัยที่ผ่านประสบการณ์ทำงานยาวนาน มีสิทธิได้รับแพ็กเกจชดเชยที่พอเพียงต่อการเริ่มต้นชีวิตบทใหม่
ทว่าในปัจจุบัน ปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายบริษัทเอกชน โดยเฉพาะใน แวดวงธนาคาร กลับสร้างความประหลาดใจและความหวั่นวิตก เมื่อ อายุ 45 ปี กลายเป็นตัวเลขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น "เป้าหมาย" ใน โครงการสมัครใจลาออก
สิ่งนี้สะท้อนชัดเจนว่าองค์กรกำลังเร่งปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ และหนึ่งในตัวแปรสำคัญคือ การมาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่ได้เพียงเข้ามาช่วยงานเสริม แต่กำลังแทนที่ฟังก์ชันหลักจำนวนมากในอุตสาหกรรมการเงิน
การเลือกช่วงอายุ 45 เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเปิดโครงการ Early Retire ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกัน
1. ต้นทุนบุคลากรสูง
• คนวัย 45 ปีขึ้นไปมักอยู่ในตำแหน่งกลางถึงสูง มีเงินเดือนและสวัสดิการสูงกว่าเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามา
• บริษัทอาจมองว่า หากลดคนกลุ่มนี้ลง จะช่วยลดต้นทุนระยะยาวได้มาก
2. ทักษะที่ไม่ตรงกับอนาคต
• พนักงานวัยกลางคนส่วนหนึ่งเติบโตมากับระบบสาขา การบริการแบบเอกสาร หรือระบบ IT แบบเก่า
• เมื่อ AI, Mobile Banking, และ FinTech กลายเป็นแกนหลัก ทักษะดั้งเดิมเหล่านี้จึงไม่สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจ
3. การมาของคนรุ่นใหม่ที่คุ้นกับเทคโนโลยี
• เด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาแทน มีความคล่องตัวสูงกับดิจิทัล สามารถปรับตัวเข้ากับเครื่องมือ AI หรือ Data Analytics ได้เร็วกว่า
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่อาจอธิบายได้หากไม่พูดถึง AI ซึ่งเข้ามาเร่งปฏิวัติระบบธนาคารในหลายด้าน
1. Chatbot และ Virtual Assistant
• งาน Call Center, งานตอบคำถามลูกค้า, การให้ข้อมูลสินเชื่อ ถูกแทนที่ด้วยระบบ AI ที่ทำงาน 24 ชั่วโมง ไม่เหนื่อย ไม่ผิดพลาด
2. Credit Scoring และการประเมินความเสี่ยง
• อดีตเคยใช้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เครดิตที่ต้องนั่งตรวจเอกสาร ปัจจุบัน AI ใช้ Big Data มาประมวลผลได้รวดเร็วและแม่นยำกว่า
3. Fraud Detection (ตรวจจับการทุจริต)
• ระบบ Machine Learning วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้บัตรหรือการทำธุรกรรม เพื่อหาความผิดปกติแบบเรียลไทม์ เร็วเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้
4. RPA (Robotic Process Automation)
• งาน Back Office เช่น การตรวจสอบเอกสาร, การกรอกข้อมูล, การโอนเงินซ้ำๆ ถูกแทนด้วยหุ่นยนต์ซอฟต์แวร์
ผลลัพธ์คือ ตำแหน่งงานจำนวนมากในธนาคารค่อยๆ หายไป ไม่ใช่เพราะคนไม่มีความสามารถ แต่เพราะ AI ทำได้ดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า
สิ่งที่ทำให้คนวัย 45 ปีรู้สึกสะเทือนใจที่สุด คือ ยังไม่แก่ แต่กลับกลายเป็น "ตัวเลขใหม่" บรรทัดฐานใหม่ของชีวิตการทำงาน ทั้งที่ในความรู้สึกของตนเองยังมีศักยภาพทำงานได้อีกยาว
แต่ความจริงอีกแง่ องค์กรไม่ได้วัดจากอายุ แต่ประเมินจาก "ต้นทุน + ความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนาทักษะใหม่"
• ถ้าองค์กรต้องลงทุนมหาศาลเพื่อ Reskill คนวัย 45 แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพในยุค AI เทียบกับการดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาโดยตรง การตัดสินใจจึงเอนเอียงไปทาง "ลดคนเก่า" นี่คือปรากฏการณ์ที่โหดร้ายแต่เกิดขึ้นจริงในโลกของการทำงานบริษัทเอกชน
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ AI ไม่ได้เข้ามา "แย่งงาน" แบบตรงไปตรงมา แต่เปลี่ยนรูปแบบของงานทั้งหมด
• งานประจำซ้ำๆ = หายไป
• งานเชิงวิเคราะห์ที่ซับซ้อน = ถูกยกระดับโดย AI ให้เร็วขึ้น
• งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์, มนุษยสัมพันธ์, การเจรจา, และการเข้าใจมนุษย์ = ยังคงอยู่ และอาจสำคัญมากกว่าเดิม
ในมุมนี้ ผู้ที่ถูกผลักให้ออกอาจไม่ใช่เพราะไร้ค่า แต่เพราะองค์กรยังไม่เห็นเส้นทางการปรับใช้ทักษะของพวกเขากับโลกใหม่
คำถามสำคัญคือ แล้วพนักงานวัย 40–50 จะปรับตัวยังไงให้ยืนหยัดได้ในโลกที่ AI กำลังเร่งเครื่อง?
Reskill และ Upskill ที่ควรมี
1. Digital Literacy – ความเข้าใจการทำงานของระบบดิจิทัล ไม่ใช่แค่ใช้งาน แต่รู้ทันว่า AI ทำงานอย่างไร
2. Data Analytics เบื้องต้น – ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเก่ง แต่ควรรู้วิธีอ่าน วิเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้ตัดสินใจ
3. Communication & Human Skills – ทักษะการสื่อสาร การเจรจา การสร้างความสัมพันธ์ที่ AI ไม่สามารถแทนได้
4. Critical Thinking & Problem Solving – มนุษย์ที่สามารถตีโจทย์ที่ซับซ้อน และใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม
5. Agility – ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ปรับตัวไว ไม่ยึดติดกับวิธีเดิม
รูปแบบการทำงานใหม่ที่ควรเปิดรับ
• Freelance / Gig Economy : ธนาคารอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่ทักษะการเงิน การบริการ และการบริหารความเสี่ยงยังนำไปใช้ต่อในงานอิสระได้
• ธุรกิจส่วนตัว : ใช้ประสบการณ์และเครือข่ายที่สั่งสมมาเป็นทุนต่อยอด
• Hybrid Work กับ AI : แทนที่จะกลัว AI ให้ใช้มันเป็นผู้ช่วย เพื่อลดเวลางานและสร้างคุณค่ามากขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงธนาคารวันนี้ อาจเป็นภาพสะท้อนที่จะลามไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ไม่ว่าจะเป็นประกัน, โลจิสติกส์, สื่อสารมวลชน, หรือแม้แต่ภาครัฐเอง เพราะ AI ไม่ได้เลือกเฉพาะงานสายการเงิน แต่กำลังไหลบ่าเข้าสู่ทุกภาคส่วน
การถูกหมายหัวให้ออกจากงานเมื่ออายุ 45 ปี ไม่ได้สะท้อนว่าคนๆ นั้นไร้ค่า แต่สะท้อนว่า โลกการทำงานได้เปลี่ยนไปแล้ว
• จากระบบที่ให้ความสำคัญกับ "ความอาวุโส" ไปสู่ "ความสามารถในการเรียนรู้ใหม่เร็วแค่ไหน"
• จากการใช้แรงงานมนุษย์ทำงานซ้ำๆ ไปสู่การใช้ AI เป็นกำลังหลัก
• จากการยึดติดกับอาชีพเดียว ไปสู่การมี "ทักษะพกพา" ที่สามารถนำไปปรับใช้ในหลายสนาม
สิ่งที่ AI ไม่มี ก็คือ การเกิดมาพร้อมทักษะ "เอาตัวรอด" มนุษย์เกิดมาพร้อมสิ่งนั้นและเป็นคงอยู่กับตัวเสมอ หาก AI เริ่มเปิดฉากรุกฆาต มนุษย์เงินเดือนก็ต้องอัปสกิลสู้ หรือหากใครที่เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตการทำงานกินเงินเดือน การมองหาลู่ทาง วางแผนทางการเงิน รวมไปถึงชีวิตส่วนตัว
คนวัย 45 อาจไม่ใช่วัย Early Retire หากแต่เป็นวัย Early Restart บทบาทชีวิตใหม่ๆ ความสำเร็จใหม่ๆ อาจเริ่มจากคำนี้ก็ได้ "Early Retire ..."
Advertisement