
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คำว่า “บาดแผลทางใจ” กลายเป็นคำที่เราหยิบยกมาใช้เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตเจ็บปวด... ความเจ็บปวดทางอารมณ์ส่วนใหญ่มักเป็นเพียง “บาดแผลทางอารมณ์” ไม่ใช่ “บาดแผลทางใจ”
การเลิกรากลายเป็นบาดแผลทางใจ... ความขัดแย้งกลายเป็นบาดแผลทางใจ... เจ้านาย/เพื่อนร่วมงานที่ทำให้ผิดหวัง หรือใช้อำนาจ ก็กลายเป็นบาดแผลทางใจ... แม้แต่ความขัดแย้งธรรมดาๆ ในความสัมพันธ์... ก็ถูกนำไปห่อหุ้มด้วยภาษาของบาดแผลทางใจ
“เราทำให้ตนเองเป็นผู้ที่บาดเจ็บจนเกินเยียวยา” ความเจ็บปวดทางอารมณ์ส่วนใหญ่มักเป็นเพียง “บาดแผลทางอารมณ์” ไม่ใช่ “บาดแผลทางใจ”
Antonieta Contreras คือผู้เขียนหนังสือ Traumatization and Its Aftermath ซึ่งได้รับรางวัล Best Books Award ประจำปี 2023 และรางวัล American Legacy Book Awards สาขาจิตวิทยา/สุขภาพจิต ประจำปี 2024 ระบุความแตกต่างของ “บาดแผลทางอารมณ์” VS “บาดแผลทางใจ” เพื่อช่วยให้การเยียวยาเป็นไปได้ง่ายขึ้น
การเรียกความเจ็บปวดทุกอย่างว่า “บาดแผลทางใจ” ทำให้ “ระบบประสาทต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดอยู่ตลอดเวลา” การได้รู้ว่าความเจ็บปวดทางอารมณ์ของคุณคืออะไรกันแน่ นำมาซึ่งความโล่งใจ
บาดแผลทางใจ (Trauma) และบาดแผลทางอารมณ์ (Emotional Wounds) นั้นอยู่ในระบบที่แตกต่างกัน และต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน เมื่อเราปฏิบัติต่อบาดแผลทางอารมณ์ ราวกับว่า มันคือบาดแผลทางใจ (Trauma) บาดแผลเหล่านั้นกลับจะยิ่งลึกขึ้นได้
เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะแยกแยะบาดแผลทางอารมณ์ออกจากบาดแผลทางใจอย่างอ่อนโยน ระบบประสาทของคุณจะผ่อนคลายลง อัตลักษณ์ของคุณจะขยายตัว และเรื่องราวของคุณก็จะง่ายต่อการแบกรับ
“บาดแผลทางอารมณ์” ไม่ได้หมายความว่าความเจ็บปวดของคุณไม่ร้ายแรง
แต่คุณก็ไม่ได้เป็นคนที่ “แตกสลาย”
คุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คุณไม่ได้ "เปราะบาง" แต่คุณกำลังเรียนรู้วิธีเผชิญหน้ากับชีวิตและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ของคุณ และการเยียวยาก็ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโปรเจกต์ตลอดชีวิตอีกต่อไป แต่เป็น เส้นทางที่คุณสามารถเดินไปได้จริง แม้จะด้วยตัวคุณเองก็ตาม
หากสมมุติว่า “บาดแผลทางใจ” เปรียบได้กับ “กระดูกหัก”
นั่นหมายความว่า กระดูกหักไม่ได้แค่ทำให้เจ็บปวดเท่านั้น แต่มันยังรบกวนการทำงานของโครงกระดูกทั้งหมดของคุณ
ในขณะที่ “บาดแผลทางอารมณ์” เปรียบได้กับ “บาดแผลที่ผิวหนัง”
บาดแผลที่ถูกของมีคมอาจจะลึกในบางครั้ง แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ร่างกายรู้วิธีเยียวยาได้ หากเราดูแลมัน มันอาจจะแสบ มีเลือดออก หรือทิ้งรอยแผลเป็นเล็กๆ ไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้โครงสร้างทั้งหมดเสียหายเหมือนอย่างกระดูกหัก
ดังนั้น “บาดแผลทางใจ” มันทำให้ระบบประสาทถูกครอบงำ รบกวนการทำงานพื้นฐานและจัดระเบียบใหม่ มันทิ้งร่องรอยไว้ เช่น การระแวดระวังภัยสูง, ความกลัว, การหลีกเลี่ยง, ความคิดที่เข้ามารบกวน และความรู้สึกว่าอันตรายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเสมอ บาดแผลทางใจจึงเปลี่ยนแปลงระบบของทั้งร่างกายและจิตใจ
ส่วน “บาดแผลทางอารมณ์” ความเจ็บปวดของมันเกิดจาก “ความอ่อนไหว ไม่ใช่การล่มสลาย” บาดแผลทางอารมณ์อยู่ในขอบเขตของการสร้างความหมาย คือวิธีการที่เราเข้าใจตัวเอง วิธีที่เราอ่านเจตนาของผู้อื่น วิธีที่เราตีความตำแหน่งของเราในโลกใบนี้ และถึงแม้ว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดได้อย่างรุนแรง แต่มันก็ไม่ได้เข้ามาควบคุมสัญญาณเตือนภัยภายในของคุณ
ทำไมการเรียกทุกอย่างว่า “บาดแผลทางใจ” จึงทำให้การเยียวยายากขึ้น
บางครั้งการเรียกบาดแผลทางอารมณ์ว่า “บาดแผลทางใจ” มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันสำคัญนะ” ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ระบบประสาทไม่สนใจเรื่องการได้รับการยอมรับ มันสนใจเรื่องความปลอดภัย
หากคุณเรียกประสบการณ์ของคุณว่าบาดแผลทางใจอยู่ตลอดเวลา สมองของคุณอาจตีความสิ่งนี้ว่าเป็นสัญญาณว่าคุณยังคงอยู่ภายใต้การคุกคาม มันจะปรับตัวเข้าหาอันตราย มันเตรียมพร้อมสำหรับการเอาชีวิตรอด
และการทำเช่นนั้น อาจทำให้รูปแบบของความทุกข์ทรมาน, การตื่นตัวมากเกินไป, และความรู้สึกไม่เชื่อมโยงกับผู้อื่น ที่คุณกำลังพยายามเยียวยานั้น กลับยิ่งลึกซึ้งขึ้น และมันอาจทำให้คุณรู้สึกพ่ายแพ้
ภาษากำหนดการรับรู้ การรับรู้กำหนดชีววิทยา “เมื่อคุณตีความความเจ็บปวดทุกอย่างว่าเป็นบาดแผลทางใจ” คุณไม่ได้เพียงแค่อธิบายประสบการณ์ของคุณเท่านั้น แต่คุณกำลัง “ฝึกระบบประสาท” ของคุณให้ระมัดระวัง ตื่นตัว และตึงเครียดพร้อมสำหรับภัยพิบัติอยู่ตลอดเวลา และการฟื้นตัวต้องใช้ความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต
แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าการเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ไม่ได้ต้องการการเดินสายระบบประสาทใหม่ทั้งหมด?
จะเป็นอย่างไร ถ้าสิ่งที่มันต้องการจริงๆ คือ ความเข้าใจ, ความเมตตา, และการเปลี่ยนเรื่องราวที่คุณเล่าให้ตัวเองฟัง นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางความคิดของคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อคุณเริ่มที่จะแยกบาดแผลทางอารมณ์ ออกจากบาดแผลทางใจ หลายสิ่งหลายอย่างที่นับไม่ถ้วนก็จะง่ายขึ้น
แม้กระทั่งความรู้สึกในอัตลักษณ์ของคุณก็ยืดหยุ่นมากขึ้น แทนที่จะมองว่าตัวเองเป็นคนที่ "เสียหาย/แตกสลาย" คุณก็เริ่มมองว่าตัวเองเป็น "คนที่กำลังเจ็บปวด" เป็นความเจ็บปวดที่สามารถเข้าใจ ผนวกเข้ากับตนเอง แก้ไข และปลอบประโลมได้
และคุณจะเปิดประตูสู่การ "เชื่อมโยงกับมนุษย์คนอื่นอีกครั้ง" ซึ่งเป็นจุดที่บาดแผลทางอารมณ์ส่วนใหญ่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ
ชีวิตกลายเป็นการ "ทำความเข้าใจตัวเอง" และความเข้าใจนั้นนำมาซึ่ง "ความโล่งใจ"
มันช่วยให้คุณเห็นว่า คุณสามารถเจ็บปวดได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบาดแผลทางใจ
ชีวิตทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นพยาน ไม่ใช่เป็นตัวกำหนดว่าคุณคือใคร คุณสามารถตีความเรื่องราวของคุณใหม่ ได้โดยไม่ปฏิเสธความเจ็บปวดของตัวเอง
และคุณสามารถ เลือกรูปแบบการดูแลที่เหมาะสมกับความลึกของบาดแผลของคุณได้จริง
บาดแผลทางอารมณ์ เยียวยาได้ด้วย
บาดแผลทางใจ เยียวยาได้ด้วย
ในทางการแพทย์ หากคุณรักษากล้ามเนื้อแพลงเหมือนกระดูกหัก คุณจะทำการรักษาที่มากเกินไป หากคุณรักษากระดูกหักเหมือนกล้ามเนื้อแพลง คุณก็จะทำการรักษาที่น้อยเกินไป ไม่ว่าทางใดก็ตาม การเยียวยาก็จะบกพร่อง
เช่นเดียวกันกับ ความเจ็บปวดทางอารมณ์ เมื่อคุณรวมเอาบาดแผลทางอารมณ์กับบาดแผลทางใจเข้าไว้ด้วยกัน คุณอาจหมดแรงจากการพยายามซ่อมแซมสิ่งที่ไม่ได้ต้องการการรักษาในระดับระบบ (system-level intervention) หรือคุณอาจประเมินความรุนแรงของบาดแผลทางใจที่แท้จริงต่ำไป และสงสัยว่าทำไมการเยียวยาด้วยตนเองเพียงอย่างเดียวถึงไม่เพียงพอ
ความแม่นยำไม่ใช่การลดทอนความเจ็บปวด แต่เป็นเรื่องของการ จับคู่การรักษาที่ถูกต้องให้เข้ากับปัญหาที่ถูกต้อง และเมื่อคุณระบุได้ถูกต้อง การเยียวยาก็จะน่ากลัวน้อยลง คุณจะไม่ต้องพยายามสร้างระบบประสาทใหม่ทั้งหมดอีกต่อไป ทั้งที่สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ คือการแก้ไขบทหนึ่งของเรื่องราวชีวิตคุณ
คุณจะไม่ต้องมองว่าอารมณ์ที่ยากลำบากทุกอย่างคือความผิดปกติอีกต่อไป ทั้งที่มันอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์
ความเจ็บปวดไม่ได้เล็กลง แต่เพราะคุณเติบโตจน "ใหญ่กว่า" ความเจ็บปวดนั้น...
อ้างอิง : psychologytoday
Advertisement