ผู้ป่วยวิกฤตกับการขอเฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉิน ใครมีสิทธิ? ใช้เมื่อไร? หลักเกณฑ์พิจารณา และต้องผ่านขั้นตอนใดบ้าง
มีค่าใช้จ่ายหรือไม่
ในโลกของการแพทย์ฉุกเฉิน "เวลา" คือหัวใจของการรอดชีวิต โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤต หากล่าช้าเพียงไม่กี่นาที อาจหมายถึงชีวิตที่ดับลงก่อนถึงมือหมอ
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านี้รอดได้ คือ "เฮลิคอปเตอร์ทางการแพทย์" หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ "Air Ambulance" ซึ่งทำหน้าที่นำพาผู้ป่วยจากพื้นที่ห่างไกล หรือสถานการณ์ที่ยานพาหนะทั่วไปเข้าถึงได้ยาก ไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาโดยเร็วที่สุด
อมรินทร์ออนไลน์ ได้รวบข้อมูลเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจว่า เฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉินคืออะไร ใครมีสิทธิใช้ ใช้เมื่อไร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
แม้ในประเทศไทยจะมีระบบส่งต่อผู้ป่วยทางบกที่เข้มแข็ง แต่ในบางพื้นที่ เช่น บนดอย เกาะ ป่าเขา หรือในช่วงเวลาที่ถนนถูกตัดขาดจากภัยพิบัติ การเข้าถึงผู้ป่วยเป็นไปได้ยากและล่าช้า การลำเลียงผู้ป่วยผ่านทางอากาศจึงกลายเป็น "เส้นชีวิตจากฟ้า" ที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาวะที่ต้องแข่งกับเวลา เช่น
• หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
• เส้นเลือดในสมองแตก/ตีบ
• อุบัติเหตุรุนแรง
• เด็กแรกเกิดที่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
• เลือดออกในอวัยวะสำคัญ
ไม่ใช่ทุกกรณีฉุกเฉินจะสามารถเรียกใช้เฮลิคอปเตอร์ได้ ต้องผ่านการพิจารณาตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) โดยผู้ที่เข้าเกณฑ์คือ
1. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤต มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง หากล่าช้าในการรับการรักษา
2. ผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือเข้าไม่ถึงทางบก
3. กรณีที่ต้องส่งต่อด่วนไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งมีศักยภาพในการรักษาสูงกว่าที่ต้นทาง
โดยทั้งหมดต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์รับแจ้งเหตุ 1669
การตัดสินใจเรียกใช้เฮลิคอปเตอร์ จะประเมินจากหลายปัจจัย
• ระยะทางและเวลาที่ใช้หากเดินทางทางบกเทียบกับ "Golden Period" (ช่วงเวลาทองในการรักษา เช่น โรคหลอดเลือดสมองต้องรักษาภายใน 4.5 ชั่วโมง)
• ความสามารถของโรงพยาบาลต้นทาง
• สภาพพื้นที่ เช่น มีน้ำท่วม ถนนขาด ฯลฯ
• สภาพอากาศ ณ เวลานั้น
1. แจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669
• ระบุอาการผู้ป่วยและพิกัดให้ชัดเจน
2. ประเมินโดยศูนย์สั่งการ
• แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะประเมินว่าผู้ป่วยเข้าเกณฑ์หรือไม่
3. ประสานหน่วยบินที่ใกล้ที่สุด
• เช่น หน่วยบินของกองทัพบก กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือภาคเอกชนที่ร่วมมือกับรัฐ
4. จัดเตรียมพื้นที่จอดเฮลิคอปเตอร์
• เช่น สนามฟุตบอล ลานว่างใกล้เคียง จุดที่สามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย
5. เคลื่อนย้ายผู้ป่วยและลำเลียงไปยังโรงพยาบาลปลายทาง
• ทีมแพทย์ที่มากับเฮลิคอปเตอร์จะดูแลตลอดการเดินทาง
บริการนี้อยู่ภายใต้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่เข้าเกณฑ์จะไม่มีค่าใช้จ่าย โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด
แต่หากเป็นการขอใช้โดยไม่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉิน หรือเรียกผ่านภาคเอกชนโดยตรง อาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาทต่อเที่ยว
• สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) – ผู้วางแผนและประสานงาน
• กองทัพบก / กองทัพอากาศ / ตำรวจ / หน่วยกู้ชีพอาสา – สนับสนุนอากาศยาน
• โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป – รับผู้ป่วยปลายทาง
เฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉินไม่ใช่เพียง "ความสะดวก" แต่เป็น "ความจำเป็น" สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาแบบเร่งด่วนในพื้นที่ที่ยานพาหนะทั่วไปไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา การรู้ว่าเมื่อใดควรขอใช้ และการเข้าใจขั้นตอน จะช่วยให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) www.niems.go.th
• เอกสาร แนวทางการลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ
• กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / กองทัพอากาศ / กองทัพบก
Advertisement