รายงานการวิจัย "2025 Voice of Consumers: Stay vs Switch" จากบริษัท ดิฟเฟอเรนเชียล (ไทยแลนด์) บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยการตลาดชั้นนำ เผยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดรถยนต์ไทย โดยผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะ เปลี่ยนรถเร็วขึ้น แต่ความภักดีต่อแบรนด์เดิมกลับ ลดลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ที่มีดีไซน์และเทคโนโลยีน่าสนใจ
ผลการศึกษาชี้ว่าความภักดีต่อแบรนด์รถยนต์ของผู้ใช้รถชาวไทยกำลังถูกทดสอบอย่างหนัก
ความภักดีต่อแบรนด์ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มาจากรากฐานสำคัญ 3 ส่วน และมี 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ลูกค้าโบกมือลาแบรนด์เดิม
ปัจจัยที่สร้างความภักดี (Stay) | เหตุผลที่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจ (Switch) |
ความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์: ความน่าเชื่อถือ รูปลักษณ์ และสมรรถนะที่ตอบโจทย์ | วิถีชีวิตและความต้องการเปลี่ยนไป: ครอบครัวขยาย, รูปแบบการเดินทางใหม่, ต้องการรถทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม |
ประสบการณ์การเป็นเจ้าของที่ดี: ความสะดวกในการซื้อ, การบริการที่ดีจากพนักงานขาย, ศูนย์บริการที่ใส่ใจ, การสื่อสารที่โปร่งใส, และการแก้ปัญหาที่รวดเร็ว | การขาดนวัตกรรม: แบรนด์ที่ไม่ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบความปลอดภัยขั้นสูง, การเชื่อมต่อดิจิทัล, หรือระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า |
ภาพลักษณ์และการรับรู้ของแบรนด์ที่ดี: ความโดดเด่น, ชื่อเสียงด้านคุณภาพ, ความปลอดภัย และ ราคาขายต่อที่ดี | ประสบการณ์ที่ไม่ประทับใจและมูลค่าขายต่อลดลง: การทำสงครามราคา, การตั้งราคาที่ไม่โปร่งใส, และบริการหลังการขายที่น่าผิดหวัง |
นายศิรส สาตราภัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิฟเฟอเรนเชียล ประจำประเทศไทย ระบุว่าลูกค้าไทยมีความลังเลในการเลือกขุมพลังเพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2567 เป็น 29% ในปี 2568
นายศิรสชี้ว่า ตลาดรถยนต์ไทยยังคงเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นใหม่ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะพร้อมเปลี่ยนใจเช่นกัน การรักษาความภักดีจึงเป็นกุญแจสำคัญ
การอยู่รอดในตลาดปัจจุบันขึ้นอยู่กับการส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ การสร้างความเชื่อมั่น และการก้าวทันเทคโนโลยีควบคู่กันไป