ประเทศไทยได้รับการขนานนามว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" หรือ "ฮับการผลิตรถยนต์ในอาเซียน" ด้วยความสามารถในการผลิตรถยนต์จำนวนมหาศาลเพื่อส่งออกไปทั่วโลก แต่คำถามที่หลายคนสงสัยและยังคงเป็นปริศนาคือ "ทำไมประเทศไทยจึงไม่มีรถยนต์แบรนด์สัญชาติของตัวเอง?" บทความนี้จะเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์ นโยบายเศรษฐกิจ และปัจจัยทางธุรกิจที่หล่อหลอมให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตชั้นนำของโลก แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์
จุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2500 เมื่อรัฐบาลไทยเริ่มส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติเพื่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศ โดยมีนโยบายหลักที่เรียกว่า "การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ" (Local Content Requirement) ซึ่งบังคับให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาประกอบรถยนต์ต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทยเป็นสัดส่วนที่กำหนดไว้ นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศให้แข็งแกร่งและลดการพึ่งพาการนำเข้า
ผลลัพธ์จากนโยบายนี้คือการที่ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของค่ายดังมากมาย ทั้งจากญี่ปุ่น ยุโรป และล่าสุดคือจีน โดยเฉพาะรถกระบะ 1 ตัน ซึ่งเป็น "แชมป์เปี้ยนโปรดักต์" ของไทยที่ส่งออกได้ดีในหลายประเทศ
การพัฒนาแบรนด์รถยนต์ของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย และมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ความพยายามในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ และเป็นอุปสรรคในปัจจุบัน
แม้จะไม่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบรนด์หลักเป็นของตัวเอง แต่ประเทศไทยก็เคยมีความพยายามในการพัฒนารถยนต์ของตนเอง เช่น VMC (Vehicle Manufacturing Corporation) ซึ่งเคยผลิตรถกระบะในยุค 90s แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ และยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์อย่าง GPX ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของตัวเองในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของคนไทยมีอยู่จริง
ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นี่อาจเป็นโอกาสใหม่ของประเทศไทยที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นในเวทีโลก แบรนด์รถยนต์หน้าใหม่จากจีนและยุโรปต่างเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในอนาคต
การที่ประเทศไทยไม่มีรถยนต์แบรนด์สัญชาติตัวเอง ไม่ใช่เพราะเราไม่มีความสามารถ แต่เป็นผลมาจากนโยบายที่รัฐบาลเลือกจะเน้นการเป็น "ฐานการผลิต" แทนที่จะเป็น "เจ้าของแบรนด์" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนและสร้างงานให้กับคนในประเทศอย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในยุคยานยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้ไทยต้องพิจารณาบทบาทของตัวเองใหม่ และอาจถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตชิ้นส่วน มาต่อยอดเพื่อสร้างแบรนด์ของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้