Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำไมประเทศไทยจึงเป็นโรงงานโลก แต่ไม่เคยมีรถยนต์ของตัวเอง

ทำไมประเทศไทยจึงเป็นโรงงานโลก แต่ไม่เคยมีรถยนต์ของตัวเอง

2 ต.ค. 68
16:00 น.
แชร์

ประเทศไทยได้รับการขนานนามว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" หรือ "ฮับการผลิตรถยนต์ในอาเซียน" ด้วยความสามารถในการผลิตรถยนต์จำนวนมหาศาลเพื่อส่งออกไปทั่วโลก แต่คำถามที่หลายคนสงสัยและยังคงเป็นปริศนาคือ "ทำไมประเทศไทยจึงไม่มีรถยนต์แบรนด์สัญชาติของตัวเอง?" บทความนี้จะเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์ นโยบายเศรษฐกิจ และปัจจัยทางธุรกิจที่หล่อหลอมให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตชั้นนำของโลก แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์

1. รากฐานแห่งนโยบาย จากการประกอบสู่ฐานการผลิตระดับโลก

จุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2500 เมื่อรัฐบาลไทยเริ่มส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติเพื่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศ โดยมีนโยบายหลักที่เรียกว่า "การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ" (Local Content Requirement) ซึ่งบังคับให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาประกอบรถยนต์ต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทยเป็นสัดส่วนที่กำหนดไว้ นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศให้แข็งแกร่งและลดการพึ่งพาการนำเข้า

  • เน้นการเป็นฐานการผลิต (Production Base) รัฐบาลไทยในยุคนั้นเลือกที่จะเป็น "พันธมิตร" กับค่ายรถยนต์ต่างชาติ แทนที่จะเป็น "คู่แข่ง" การเปิดรับการลงทุนจากทั่วโลกทำให้ประเทศไทยได้รับเม็ดเงินมหาศาล มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต และสร้างงานให้กับคนไทยจำนวนมาก การเป็นฐานการผลิตทำให้บริษัทต่างชาติไม่ต้องกังวลว่าจะมี "แบรนด์รถยนต์แห่งชาติ" เข้ามาเป็นคู่แข่งในตลาดภายในประเทศ
  • แรงจูงใจทางการเงินและภาษี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกนโยบายที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการลงทุนแก่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย โดยเฉพาะการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งทำให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในภูมิภาค

ผลลัพธ์จากนโยบายนี้คือการที่ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของค่ายดังมากมาย ทั้งจากญี่ปุ่น ยุโรป และล่าสุดคือจีน โดยเฉพาะรถกระบะ 1 ตัน ซึ่งเป็น "แชมป์เปี้ยนโปรดักต์" ของไทยที่ส่งออกได้ดีในหลายประเทศ

2. อุปสรรคและความท้าทายที่รออยู่

การพัฒนาแบรนด์รถยนต์ของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย และมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ความพยายามในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ และเป็นอุปสรรคในปัจจุบัน

  • ต้นทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา (R&D) การสร้างรถยนต์ขึ้นมาหนึ่งรุ่นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทั้งในด้านการวิจัยและออกแบบ การทดสอบความปลอดภัย การพัฒนาเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลในระยะยาว และในอดีตประเทศไทยไม่มีทุนวิจัยและพัฒนามากพอที่จะสู้กับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกได้
  • การขาดเทคโนโลยีและบุคลากรเฉพาะทาง แม้ไทยจะเชี่ยวชาญในการผลิตและประกอบชิ้นส่วน แต่การพัฒนาเทคโนโลยีหลักๆ เช่น เครื่องยนต์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือระบบขับขี่อัตโนมัติ ยังคงต้องพึ่งพาต่างชาติอยู่มาก การขาดแคลนวิศวกรและนักออกแบบที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกทำให้การสร้างแบรนด์ของตัวเองเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งขึ้น
  • ตลาดภายในประเทศที่เล็กเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศจีน ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ตลาดรถยนต์ในไทยมีขนาดเล็กเกินกว่าจะทำให้การลงทุนสร้างแบรนด์ของตัวเองคุ้มค่าในแง่ของเศรษฐศาสตร์ การจะอยู่รอดในตลาดโลกได้ต้องอาศัยการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุน ซึ่งตลาดในประเทศไม่สามารถรองรับได้
  • ทัศนคติของผู้บริโภค ผู้บริโภคชาวไทยยังคงมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ต่างชาติมากกว่า โดยเฉพาะแบรนด์จากญี่ปุ่น ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งในเรื่องของความทนทานและราคาขายต่อที่ดี การสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ใหม่สัญชาติไทยจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนมหาศาล
  • การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก การจะส่งออกรถยนต์แบรนด์ไทยไปสู้กับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Toyota, Ford, หรือ Tesla นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคา คุณภาพ และภาพลักษณ์แบรนด์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปี

3. ความพยายามในอดีตและอนาคต

แม้จะไม่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบรนด์หลักเป็นของตัวเอง แต่ประเทศไทยก็เคยมีความพยายามในการพัฒนารถยนต์ของตนเอง เช่น VMC (Vehicle Manufacturing Corporation) ซึ่งเคยผลิตรถกระบะในยุค 90s แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ และยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์อย่าง GPX ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของตัวเองในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของคนไทยมีอยู่จริง

ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นี่อาจเป็นโอกาสใหม่ของประเทศไทยที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นในเวทีโลก แบรนด์รถยนต์หน้าใหม่จากจีนและยุโรปต่างเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในอนาคต

การที่ประเทศไทยไม่มีรถยนต์แบรนด์สัญชาติตัวเอง ไม่ใช่เพราะเราไม่มีความสามารถ แต่เป็นผลมาจากนโยบายที่รัฐบาลเลือกจะเน้นการเป็น "ฐานการผลิต" แทนที่จะเป็น "เจ้าของแบรนด์" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนและสร้างงานให้กับคนในประเทศอย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในยุคยานยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้ไทยต้องพิจารณาบทบาทของตัวเองใหม่ และอาจถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตชิ้นส่วน มาต่อยอดเพื่อสร้างแบรนด์ของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้

แชร์
ทำไมประเทศไทยจึงเป็นโรงงานโลก แต่ไม่เคยมีรถยนต์ของตัวเอง