รายงานจาก สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป (ACEA) เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในสหภาพยุโรปประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรถยนต์ไฟฟ้า
เดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ใหม่ในสหภาพยุโรปมีการเติบโตเล็กน้อยที่ 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตัวเลขสะสมตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่าลดลงเล็กน้อยที่ 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะตลาดที่ยังคงผันผวนต่อไป
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของรายงานนี้คือการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ซึ่ง ณ เดือนพฤษภาคม 2568 มีส่วนแบ่งตลาดสะสมที่ 15.4% เพิ่มขึ้นจาก 12.1% ในช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มผู้บริโภคชาวยุโรป ทำให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าถึง 701,089 คัน โดยประเทศชั้นนำในยุโรป ทั้ง เยอรมนี (+43.2%) เบลเยียม (+26.7%) และเนเธอแลนด์ (+6.7%) ซึ่งสวนทางกับฝรั่งเศสที่ยอดขายลดลง 7.1%
อย่างไรก็ตาม แม้รถยนต์กลุ่ม BEV (Battery Electric Vehicle) จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่รถยนต์ไฮบริด (HEV) ยังคงเป็นกลุ่มตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้บริโภค โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 35.1% ยอดจดทะเบียนในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 1,601,090 คัน ขณะที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือเพียง 38.1% (ดีเซล 9.5% เบนซิน 28.6%) จาก 48.5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและความนิยมในรถยนต์พลังงานทางเลือกที่เพิ่มขึ้น ส่วนรถปลั๊กอิน-ไฮบริด (PHEV) มียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 375,182 คัน
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเองก็มีการเติบโตอย่างเช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ รวมถึงการลดลงของต้นทุนแบตเตอรี่และการตระหนักถึงประโยชน์ด้านค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปภายใน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ยังคงมีอยู่คือปัญหาเรื่องความพร้อมของอะไหล่ การบริการหลังการขาย และโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จที่ยังต้องได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคต