ส.อ.ท.ประกาศยอดผลิต-ส่งออกรถยนต์เดือน ก.ค.ยังลดลง ด้าน EV ยังพุ่งแรง!
ข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือนกรกฎาคม 2568 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าที่สวนทางกับตลาดรถยนต์โดยรวม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาพรวมการผลิต
ในเดือนกรกฎาคม 2568 การผลิตรถยนต์โดยรวมอยู่ที่ 110,616 คัน ลดลงร้อยละ 11.39 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะรถยนต์ใช้น้ำมัน (ICE) ลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 31.80 เนื่องจากมีการยกเลิกการผลิตบางรุ่นเพื่อการส่งออก ขณะที่การผลิตรถกระบะก็ลดลงเช่นกันทั้งสำหรับขายในประเทศและส่งออก อย่างไรก็ตาม การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) กลับเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 553.99% ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม
ยอดขายในประเทศ
แม้การผลิตจะลดลง แต่ยอดขายรถยนต์ในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2568 กลับเพิ่มขึ้น 5.84% อยู่ที่ 49,102 คัน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากยอดขายรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่ขายได้ 9,304 คัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36.12 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่ารถยนต์สันดาปภายใน
ในทางกลับกัน ยอดขายรถกระบะยังคงลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 30 เหลือเพียง 10,968 คัน สาเหตุหลักมาจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังเติบโตในอัตราต่ำ
การส่งออก
ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 72,439 คัน ลดลงร้อยละ 13.27 สาเหตุหลักมาจากการยกเลิกการผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพื่อเปลี่ยนโฉม รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ากลับเป็นจุดเด่นสำคัญ โดยมียอดส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า (BEV) 120 คัน และรถกระบะไฟฟ้า 47 คัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทยที่สามารถส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสองประเภทได้
การจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า
ยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง (BEV) ในเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวน 12,124 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.51 โดยเฉพาะรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีจำนวน 9,925 คัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 77.21 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
สรุปเดือนกรกฎาคม 2568 การผลิตรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 11.39% เหลือ 110,616 คัน โดยเฉพาะรถยนต์สันดาปภายในที่ผลิตเพื่อส่งออกและรถกระบะที่ลดลงมากตามยอดขายในประเทศและการส่งออก ขณะที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 553.99% ยอดขายรถยนต์โดยรวมในประเทศเพิ่มขึ้น 5.84% เป็น 49,102 คัน โดยได้แรงหนุนจากรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 36.12% โดยเฉพาะรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า ขณะที่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศและภาระหนี้ครัวเรือน การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปลดลง 13.27% เป็น 72,439 คัน เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์เพื่อส่งออกบางรุ่น
อย่างไรก็ตาม มีการส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าซึ่งเป็นการส่งออกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย ยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 45.51% เป็น 12,124 คัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่มีจำนวน 9,925 คัน ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมทุกประเภท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย BEV มีจำนวนสะสม 307,428 คัน เพิ่มขึ้น 60.61% จากปีที่แล้ว HEV มีจำนวนสะสม 552,469 คัน เพิ่มขึ้น 29.49% และ PHEV มีจำนวนสะสม 75,693 คัน เพิ่มขึ้น 27.03%
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ยานยนต์ไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญมากขึ้นทั้งในตลาดในประเทศและการส่งออก
