สาเหตุที่ราคาค่าชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีความผันผวนต่างจากน้ำมันนั้นเกิดจากปัจจัยด้านสถานที่และประเภทของไฟฟ้าเป็นหลัก โดยการชาร์จไฟบ้านในช่วงเวลา Low Priority หรือ TOU จะมีต้นทุนต่ำที่สุดเนื่องจากเป็นช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในระบบน้อยลง ในขณะที่การใช้สถานีชาร์จสาธารณะแบบกระแสตรงหรือ DC Fast Charge จะมีราคาสูงกว่ามากเพราะรวมค่าบริการโครงสร้างพื้นฐาน ค่าบำรุงรักษาเครื่องชาร์จแรงดันสูง และค่าเช่าพื้นที่ในทำเลที่สะดวกสบายไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ช่วงเวลาในการเข้าใช้บริการยังมีผลต่อราคาที่แตกต่างกันตามนโยบายของแต่ละเครือข่ายผู้ให้บริการ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรของผู้ขับขี่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมการเลือกจุดชาร์จและช่วงเวลาในแต่ละวันอย่างมีนัยสำคัญ
ความต่างของ "สถานที่" และ "ค่าเช่าที่"
นี่คือปัจจัยอันดับหนึ่งที่ทำให้ราคาดีดตัวสูงขึ้น สถานีชาร์จไม่ใช่แค่ตู้จ่ายไฟ แต่มันคือการ "เช่าพื้นที่จอดรถ" ไปในตัว
- สถานีในห้างสรรพสินค้า/อาคารสำนักงาน พื้นที่เหล่านี้มีค่าเช่าที่สูงมาก ผู้ให้บริการ (CPO) จึงมักบวกค่าบริการ (Service Fee) เพิ่มเติมจากค่าไฟปกติ หรือบางแห่งอาจเลือกใช้โมเดลการคิดเงินแบบรายนาที (Minute-based) เพื่อเร่งการหมุนเวียนรถ ทำให้ราคาสุทธิที่ผู้ใช้ต้องจ่ายพุ่งสูงกว่าปั๊มน้ำมันริมทาง
- สถานีในปั๊มน้ำมัน มักจะเน้นปริมาณการใช้งาน (Volume) ราคาจึงมักจะเป็นมาตรฐานตามที่ผู้ให้บริการกำหนด (เช่น 7.5 - 9.5 บาทต่อหน่วย)
กำลังไฟ (kW) และเทคโนโลยีตู้ชาร์จ
"ยิ่งเร็ว ยิ่งแพง" คือกฎเหล็กของโลก EV
- AC Charge (ชาร์จช้า) ต้นทุนตู้ต่ำ กำลังไฟน้อย ราคาจึงถูกที่สุด (บางที่ยังฟรี หรือคิดราคาถูกมาก)
- DC Fast Charge (ชาร์จเร็ว) ตู้ชาร์จระดับ 120kW - 360kW มีราคาติดตั้งหลักล้านบาท แลกมาด้วยความสะดวกที่ชาร์จ 20 นาทีเต็ม ผู้ให้บริการจึงต้องตั้งราคาสูงเพื่อคืนทุน รวมถึงค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้า (Demand Charge) ที่ผู้ให้บริการต้องจ่ายให้การไฟฟ้าก็สูงตามไปด้วย
ช่วงเวลาที่คุณชาร์จ
สำหรับคนที่ชาร์จบ้าน หรือสถานีบางแห่งที่อิงราคาตามการไฟฟ้า
- On-Peak (ช่วงคนใช้ไฟเยอะ) ราคาจะสูง (ประมาณ 5-7 บาท+)
- Off-Peak (ช่วงกลางคืน/วันหยุด) ราคาจะถูกลงกว่าครึ่ง (ประมาณ 2.6 บาท) หากสถานีชาร์จสาธารณะแห่งนั้นไม่ได้ปรับราคาตามช่วงเวลา เขาจะใช้วิธี "เฉลี่ยราคา" ให้สูงไว้ก่อนเพื่อป้องกันการขาดทุนในช่วง On-Peak
โมเดลการคิดเงิน "ต่อหน่วย" vs "ต่อนาที"
นี่คือจุดที่ทำให้คนใช้รถรู้สึกว่าค่าชาร์จแพงผิดปกติ
- คิดตามหน่วย ยุติธรรมที่สุด ใช้ไฟเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น
- คิดตามนาที หากรถของคุณรับไฟได้ช้า หรือแบตเตอรี่ใกล้เต็ม (ซึ่งรถจะลดความเร็วในการรับไฟลง) แต่คุณยังเสียบแช่อยู่ คุณจะเสียค่าบริการต่อนาทีเท่าเดิม ส่งผลให้เมื่อหารเฉลี่ยออกมาแล้ว ค่าไฟต่อกิโลเมตรจะดูแพงมหาศาล
กลยุทธ์สำหรับผู้ใช้ EV
ค่าชาร์จที่สูงเกินไป มักไม่ได้เกิดจากประสิทธิภาพของรถ แต่เกิดจาก "การเลือกใช้สถานีที่ไม่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการรับไฟของรถ" เช่น การไปใช้ตู้ DC Fast Charge ราคาแพงในช่วงที่แบตเตอรี่รถเหลือ 80% ซึ่งรถจะรับไฟได้ช้าลงมาก ทำให้ค่าเฉลี่ยต่อหน่วยพุ่งสูงขึ้น
การเปรียบเทียบการชาร์จที่บ้านกับการใช้สถานีชาร์จสาธารณะ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราจะจำลองสถานการณ์การใช้งานรถ EV ที่วิ่งระยะทางเฉลี่ย 1,500 กิโลเมตรต่อเดือน (อัตรากินไฟเฉลี่ย 6 กม./หน่วย) โดยเปรียบเทียบระหว่างการชาร์จที่บ้านเพียงอย่างเดียวกับการใช้สถานีชาร์จสาธารณะเป็นหลัก ดังนี้ครับ
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรายเดือน (ระยะทาง 1,500 กม.)
- กรณีชาร์จไฟบ้าน (มิเตอร์ TOU ช่วง Off-Peak) หากคุณชาร์จช่วงกลางคืนหลังเวลา 22.00 น. ซึ่งราคาไฟอยู่ที่ประมาณ 2.6 บาทต่อหน่วย ค่าใช้จ่ายรวมจะตกอยู่ที่ประมาณ 650 บาทต่อเดือน (เฉลี่ยเพียงกิโลเมตรละ 0.43 บาท)
- กรณีชาร์จสถานีสาธารณะ (DC Fast Charge) หากชาร์จผ่านสถานีควิกชาร์จในช่วงเวลา Peak ที่มีราคาสูงประมาณ 7.5 บาทต่อหน่วย ค่าใช้จ่ายจะพุ่งขึ้นไปถึงประมาณ 1,875 บาทต่อเดือน (เฉลี่ยกิโลเมตรละ 1.25 บาท)
- ส่วนต่างที่เกิดขึ้น การวางแผนชาร์จไฟบ้านในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากกว่า 1,200 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินเกือบ 15,000 บาทต่อปี
ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่ การติดตั้งมิเตอร์ TOU (Time of Use) ที่บ้านถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะจะช่วยเปลี่ยนค่าใช้จ่ายจากกิโลเมตรละ "บาทกว่า" ให้เหลือเพียง "ไม่กี่สิบสตางค์" ได้ทันที
"ทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดคือ การชาร์จจากที่พักอาศัยในช่วง Off-Peak ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเดินทางต่ำกว่ารถน้ำมันถึง 3-4 เท่าตัว"