Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไม่เลยก็หลง! ขับรถดีต้องมีสติ! เตือนนักขับ สมองรับข้อมูลไม่ทัน

ไม่เลยก็หลง! ขับรถดีต้องมีสติ! เตือนนักขับ สมองรับข้อมูลไม่ทัน

16 ธ.ค. 68
16:00 น.
แชร์

ในโลกของการขับเคลื่อนสมัยใหม่ ที่ถนนทุกสายถูกถักทอเข้าด้วยกันด้วยใยแมงมุมของเทคโนโลยีนำทางที่แม่นยำแทบจะไร้ที่ติ แต่กระนั้นก็ตาม ปรากฏการณ์ของ "การขับหลง" และ "การขับเลย" กลับยังคงเป็นอาการเรื้อรังที่พบเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงความผิดพลาดเชิงกายภาพในการบังคับทิศทางเท่านั้น แต่เป็นอาการสะท้อนภาวะทางจิตวิทยาและการประมวลผลข้อมูลของมนุษย์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง หากเปรียบเทียบวงการยานยนต์เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ ปรากฏการณ์นี้ก็คือตัวแปรที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เราจะวิเคราะห์

หลงทาง เมื่อการประมวลผลของสมองพ่ายแพ้ต่อความเร็วและสิ่งเร้า

การขับหลง (Getting Lost) ไม่ได้หมายถึงการที่เราขาดความรู้เรื่องเส้นทางโดยสิ้นเชิง แต่บ่อยครั้งมันคือการที่สมองส่วนหน้าของเราที่ทำหน้าที่ในการตัดสินใจและการวางแผน (Prefrontal Cortex) ต้องเผชิญกับภาระงานที่หนักอึ้งเกินกว่าจะรับไหว ลองนึกภาพตามว่าขณะขับขี่นั้น เราต้องประมวลผลทั้งสัญญาณไฟจราจร ป้ายบอกทาง ระยะห่างจากรถคันหน้า การคาดการณ์พฤติกรรมของเพื่อนร่วมทาง ไปจนถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนเลน การป้อนข้อมูลที่ถาโถมเข้ามาในอัตราความเร็วสูงนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Cognitive Overload" หรือ "ภาวะการรับรู้เกินพิกัด"

ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังเกตว่า เมื่อคนเราตกอยู่ในสภาวะนี้ มนุษย์จะหันไปใช้กลไกการตัดสินใจที่ง่ายและรวดเร็วกว่า โดยเฉพาะการอาศัย "Heuristics" หรือทางลัดทางความคิด ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความป้ายบอกทางที่ผิดพลาด หรือการละเลยที่จะตรวจสอบแผนที่ซ้ำอีกครั้ง กลไกนี้ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงเมื่อคนขับเกิดความเครียด ความเร่งรีบ หรือที่อันตรายกว่านั้นคือ "Tunnel Vision" ซึ่งหมายถึงการที่เราจดจ่ออยู่กับรถคันหน้าหรือจุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป จนมองข้ามสัญญาณบอกเลี้ยวสำคัญที่อยู่ด้านข้างไปอย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนการที่เราจ้องมองแดชบอร์ดรถสปอร์ตจนลืมดูว่าถนนข้างหน้ากำลังจะพาเราเข้าสู่ทางตันหรือไม่

ขับเลย ความไม่ลงรอยกันระหว่างสมาธิและการพึ่งพาระบบ

ส่วนอาการ "ขับเลย" มักจะมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากกว่า มันคือความขัดแย้งเชิงระบบระหว่าง "สัญชาตญาณ" กับ "การยอมจำนนต่อ GPS" ในยุคก่อน ระบบนำทางที่อยู่บนแผงหน้าปัดของเราคือเพื่อนร่วมเดินทางที่ส่งเสียงบอกให้เรา "เลี้ยวขวาข้างหน้า" แต่ในความเป็นจริง ผู้ขับขี่จำนวนมากไม่ได้ประมวลผลข้อมูลนี้อย่างตั้งใจ

สาเหตุหลักมาจากภาวะที่เรียกว่า "Automation Bias" เรามีความเชื่อมั่นในระบบอัตโนมัติมากจนเกินไป (ในที่นี้คือแอปพลิเคชันนำทาง) ทำให้ความตื่นตัวในการสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมจริงลดลงอย่างมาก เราลดระดับการ "อ่านแผนที่ทางกายภาพ" และเปลี่ยนเป็นการรอคอย "คำสั่งเสียง" เพียงอย่างเดียว เมื่อเสียงสั่งให้เลี้ยวถูกส่งมาพร้อมกับจังหวะที่ต้องเปลี่ยนเลนกะทันหัน หรือถูกขัดจังหวะด้วยการสนทนาหรือวิทยุ สมองก็ไม่สามารถดำเนินการตัดสินใจได้ทันท่วงที ทำให้เกิดอาการ 'Slight Delay in Reaction' ที่แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอที่จะเลยทางออกที่สำคัญนั้นไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องของ 'Inattentional Blindness' หรือการมองไม่เห็นเพราะขาดสมาธิ ลองนึกถึงการขับบนทางด่วนที่จำเจ การที่คนขับคาดหวังว่าทางออกจะอยู่ข้างหน้าเสมอ แต่เมื่อมันมาถึงเร็วกว่าที่คาด หรือป้ายบอกทางถูกบดบังเล็กน้อยด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ สมองที่กำลังอยู่ในสภาวะผ่อนคลายจากการขับทางตรงยาวๆ ก็มักจะ "กรอง" สัญญาณที่ไม่คาดคิดเหล่านี้ออกไปโดยอัตโนมัติ ทำให้พลาดข้อมูลสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย ราวกับรถยนต์ไฮเอนด์ที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่ทำงานได้ดีเกินไป จนผู้ขับขี่เกิดความประมาทเลินเล่อในเรื่องง่ายๆ ไปเสียเอง

สำหรับผู้ขับขี่มืออาชีพ การกลับมาสู่ 'ศิลปะแห่งการสังเกต'

ในฐานะบรรณาธิการด้านยานยนต์ เราขอเสนอว่า การแก้ปัญหา "ไม่หลงก็เลย" ไม่ใช่การพัฒนาระบบ GPS ให้ดีขึ้น แต่คือการพัฒนาสติสัมปชัญญะของผู้ขับขี่เอง การขับรถที่ดีจึงไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายวัตถุจากจุด A ไปจุด B แต่คือการมีส่วนร่วมทางความคิดกับสภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

  • ให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ อย่ารอคำสั่ง GPS เพียงอย่างเดียว ควรเหลือบมองแผนที่ล่วงหน้าเสมอ เพื่อให้สมองได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงเลนหรือทางออกที่กำลังจะมาถึง
  • ลดภาระงานทางความคิด (Cognitive Load) หากรู้ตัวว่าต้องขับในเส้นทางใหม่ที่ซับซ้อน ควรลดปัจจัยรบกวน เช่น การฟังพอดแคสต์ที่ต้องใช้สมาธิสูง หรือการโต้ตอบการสนทนาที่จริงจัง
  • เรียนรู้ที่จะ "ถอดรหัส" ป้าย ฝึกฝนการอ่านป้ายบอกทางในพริบตา และทำความเข้าใจสัญลักษณ์สากลต่างๆ ให้ดี เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้แม้ในขณะที่สัญญาณ GPS ขัดข้อง

ท้ายที่สุดแล้ว การขับหลงหรือขับเลยคือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า มนุษย์ยังคงเป็นจุดอ่อนที่สุดในระบบการขับเคลื่อนทั้งหมด เพราะเราถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และข้อจำกัดทางจิตวิทยา ไม่ใช่แค่กลไกและอัลกอริทึม การยอมรับความจริงข้อนี้ และการหมั่นฝึกฝน "สติในการขับขี่" ต่างหาก ที่จะพาเราไปสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำที่สุด โดยไม่เสียเวลาไปกับการขับย้อนศรบนถนนของความสับสนอีกต่อไป

แชร์
ไม่เลยก็หลง! ขับรถดีต้องมีสติ! เตือนนักขับ สมองรับข้อมูลไม่ทัน