Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ผังเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยรถยนต์ การออกแบบถนน "ทำลาย" เมืองอย่างไร

ผังเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยรถยนต์ การออกแบบถนน "ทำลาย" เมืองอย่างไร

2 พ.ย. 68
16:00 น.
แชร์

ในศตวรรษที่ 20 รถยนต์ถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า เสรีภาพ และความมั่งคั่ง นำมาซึ่งแนวคิดการวางผังเมืองที่เน้นการรองรับยานพาหนะส่วนตัว หรือ "ผังเมืองแบบ Car-Centric" ที่ออกแบบถนนให้กว้างขวาง สร้างทางด่วน และจัดเตรียมพื้นที่จอดรถอย่างเพียงพอ แต่ภายใต้ความสะดวกสบายที่ฉาบฉวยนี้ กลับซ่อนผลกระทบด้านลบที่กัดกร่อนคุณภาพชีวิต สังคม และเศรษฐกิจของเมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึงกรุงเทพมหานคร

ไปดูว่า ผังเมืองที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์ก่อนมนุษย์นั้น "ทำลาย" เมืองอย่างไร และสำรวจแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการสร้าง "เมืองคนเดิน" (People-Centric City)

รากเหง้าของปัญหา การขยายตัวแบบไร้ทิศทาง

ผังเมืองแบบ Car-Centric ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Urban Sprawl หรือการขยายตัวของเมืองอย่างกระจัดกระจายและไม่เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพารถยนต์อย่างสมบูรณ์

ถนนใหญ่จำกัด VS. ซอยยิบย่อย

ในเมืองที่เน้นรถยนต์ การออกแบบถนนมักให้ความสำคัญกับถนนสายหลักขนาดใหญ่ (Arterial Roads) และทางด่วน เพื่อให้รถสามารถใช้ความเร็วสูงและเข้าถึงพื้นที่รอบนอกได้ง่าย ในขณะที่ถนนรองและซอยย่อยถูกปล่อยให้เป็นไปตามการพัฒนาของเอกชน นำไปสู่ปัญหา "ซอยตัน" จำนวนมาก (เช่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในกรุงเทพฯ)

เมื่อการเข้าถึงถนนหลักทำได้ยากจากพื้นที่อยู่อาศัย ทำให้ผู้คนต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางจากบ้านไปยังระบบขนส่งสาธารณะหรือถนนหลัก ส่งผลให้

  • รถยนต์เต็มถนนหลัก ทุกคนต้องมารวมตัวกันใช้ถนนหลักเพียงไม่กี่สาย ทำให้เกิดการจราจรติดขัดรุนแรง
  • ระยะทางเพิ่มขึ้น การเดินทางจากจุด A ไปจุด B มักต้องใช้เส้นทางที่อ้อมไกลกว่าความเป็นจริง เนื่องจากซอยไม่เชื่อมต่อกัน

การทำลายความเป็นชุมชน

การสร้างถนนใหญ่และทางด่วนที่ผ่ากลางชุมชนเป็นการสร้าง "กำแพงกั้น" ที่ตัดขาดความสัมพันธ์ของพื้นที่ใกล้เคียงออกจากกัน ทำให้กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจในย่านนั้นลดลง ผู้คนไม่ได้เดินพบปะกันอีกต่อไป แต่เลือกที่จะขับรถจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทางโดยเร็วที่สุด

ต้นทุนที่มองไม่เห็นของพื้นที่จอดรถ

หนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงแต่ถูกมองข้ามที่สุดของผังเมืองแบบ Car-Centric คือ "ต้นทุนของที่จอดรถ" ที่เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรที่ดินในเมืองอย่างมหาศาล

การผลาญพื้นที่ใจกลางเมือง

ในเขตธุรกิจและย่านการค้าที่มีมูลค่าสูง ที่จอดรถกลายเป็นพื้นที่ที่กินเนื้อที่อันมีค่าไปหลายตารางเมตร โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียวที่ควรถูกใช้เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีถูกเปลี่ยนเป็นลานจอดรถคอนกรีต

นักผังเมืองบางคนกล่าวว่า "เราไม่ได้มีปัญหาการจราจรติดขัด แต่เรามีปัญหาพื้นที่จอดรถที่มากเกินไป"

ราคาที่สูงขึ้นของทุกสิ่ง

เมื่อมีการกำหนดให้ธุรกิจและอาคารต้องมีที่จอดรถตามจำนวนที่กำหนด (Minimum Parking Requirements) จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่

  • เพิ่มค่าเช่าที่ดิน ธุรกิจต้องเช่าหรือซื้อที่ดินเพื่อทำที่จอดรถ ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น
  • ราคาสินค้าแพงขึ้น ต้นทุนที่สูงขึ้นถูกผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าและบริการในเมืองแพงขึ้น
  • ทำลายธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่สามารถแบกรับภาระการจัดหาที่จอดรถจำนวนมากได้ต้องปิดตัวลง

กล่าวได้ว่า ทุกคนต้องจ่าย "ภาษี" สำหรับที่จอดรถ ไม่ว่าพวกเขาจะขับรถหรือไม่ก็ตาม เพราะราคาสินค้าที่เราซื้อได้รวมค่าใช้จ่ายในการจัดหาพื้นที่จอดรถของร้านค้าไว้แล้ว

ความเหลื่อมล้ำในการคมนาคม เมื่อถนนไม่ใช่ของทุกคน

ผังเมืองที่มุ่งเน้นรถยนต์ได้สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยบังคับให้การเดินทางที่สะดวกสบายเป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น

การละเลยกลุ่มเปราะบาง

  • คนเดินเท้า ฟุตบาทในหลายเมืองอยู่ในสภาพทรุดโทรม ไม่ต่อเนื่อง และถูกรุกล้ำโดยแผงลอยหรือสิ่งกีดขวาง ทำให้การเดินเท้าเป็นอันตรายและไม่น่ารื่นรมย์
  • ผู้ใช้จักรยาน ไม่มีช่องทางเฉพาะและปลอดภัย ต้องเสี่ยงชีวิตร่วมกับรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่และเร็วกว่า
  • ผู้พิการและผู้สูงอายุ การที่ต้องข้ามถนนกว้างๆ หรือขึ้น-ลงจากฟุตบาทที่ไม่มีทางลาด ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก

ในผังเมือง Car-Centric ถนนถูกมองเป็น "พื้นที่สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ" ทำให้ผู้คนที่เลือกหรือไม่สามารถขับรถได้กลายเป็น "พลเมืองชั้นสอง" ในการใช้พื้นที่สาธารณะ

ทางออกสู่แนวคิดการออกแบบถนนแบบใหม่

การเปลี่ยนทิศทางจากการเป็นเมือง Car-Centric สู่ People-Centric ต้องเริ่มจากการปรับปรุงปรัชญาการออกแบบถนน

หลักการถนนสมบูรณ์

Complete Streets คือแนวคิดที่ปรับเปลี่ยนถนนให้มีความ "สมบูรณ์" โดยเน้นการจัดสรรพื้นที่อย่างเท่าเทียมสำหรับผู้ใช้ถนนทุกประเภท ไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่รถยนต์อีกต่อไป องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่:

  • การจัดช่องทางที่ชัดเจน จัดสรรเลนที่ปลอดภัยสำหรับจักรยานและสกูตเตอร์ไฟฟ้า
  • ฟุตบาทคุณภาพสูง ฟุตบาทกว้างขวาง, เรียบ, ต่อเนื่อง, และปราศจากสิ่งกีดขวาง
  • ลดขนาดช่องจราจร (Road Diet) ลดความกว้างของเลนรถยนต์ลงเพื่อชะลอความเร็วและนำพื้นที่ไปเพิ่มให้กับจักรยานหรือฟุตบาท
  • การปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ สร้างช่องทางเดินรถโดยสารประจำทาง (Bus Lane) ที่เป็นอิสระ เพื่อให้รถเมล์มีความน่าเชื่อถือและเร็วกว่าการขับรถส่วนตัว

การปรับใช้ Complete Streets ไม่ใช่แค่การทาสีใหม่ แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางวิศวกรรมจราจรทั้งหมด

กรณีศึกษา จากเมืองที่ล้มเหลว สู่เมืองที่ประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างที่ล้มเหลว

ลอสแอนเจลิส , สหรัฐอเมริกา

LA ถูกมองว่าเป็นต้นแบบของผังเมืองที่ถูกครอบงำด้วยรถยนต์ การสร้างทางด่วนขนาดใหญ่และโครงข่ายถนนที่กว้างขวางทำให้ผู้คนอาศัยอยู่ห่างไกลจากที่ทำงานและแหล่งอำนวยความสะดวก ผลลัพธ์คือ การจราจรติดขัดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผู้คนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถ และการเดินทางในระยะสั้นก็ต้องใช้รถยนต์เสมอ

ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก

โคเปนเฮเกนเปลี่ยนตัวเองจากเมืองที่ประสบปัญหารถยนต์ล้นเมืองในช่วงปี 1960s สู่ "เมืองจักรยานโลก" ด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่:

  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจักรยาน สร้างเส้นทางจักรยานที่แยกขาดจากรถยนต์ (Protected Bike Lane) ทั่วเมือง
  • การเพิ่มพื้นที่สาธารณะ เปลี่ยนพื้นที่จอดรถใจกลางเมืองเป็นลานสาธารณะ (Plazas) และพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า
  • การจำกัดรถยนต์ การกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้รถในพื้นที่เขตเมืองและการจำกัดการจอดรถ ทำให้คนหันไปใช้จักรยานและขนส่งสาธารณะแทน

ผลลัพธ์คือ มากกว่า 62% ของพลเมืองในโคเปนเฮเกนใช้จักรยานในการเดินทางไปทำงานหรือเรียน ทำให้เมืองมีมลพิษต่ำลง, เศรษฐกิจย่านการค้าดีขึ้น และประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

การก้าวข้ามจาก "ยุครถยนต์"

ปัญหาการจราจรติดขัดและคุณภาพชีวิตในเมืองไม่ได้แก้ได้ด้วยการสร้างถนนเพิ่มหรือขยายทางด่วน แต่ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ "ความคิดที่ว่ารถยนต์คือศูนย์กลางของเมือง"

การเปลี่ยนผ่านสู่ "เมืองคนเดิน" ไม่ได้หมายถึงการแบนรถยนต์ทั้งหมด แต่คือการสร้าง สมดุล และให้ทางเลือกแก่ประชาชนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อระบบขนส่งสาธารณะดี, ฟุตบาทปลอดภัย, และการปั่นจักรยานเป็นเรื่องง่าย ผู้คนก็จะเลือกใช้ทางเลือกอื่นโดยธรรมชาติ และนั่นคือทางเดียวที่จะนำความยั่งยืน, ความเสมอภาค, และความมีชีวิตชีวาที่แท้จริงกลับคืนสู่เมืองของเราได้

แชร์
ผังเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยรถยนต์ การออกแบบถนน "ทำลาย" เมืองอย่างไร