
ในศตวรรษที่ 20 รถยนต์ถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า เสรีภาพ และความมั่งคั่ง นำมาซึ่งแนวคิดการวางผังเมืองที่เน้นการรองรับยานพาหนะส่วนตัว หรือ "ผังเมืองแบบ Car-Centric" ที่ออกแบบถนนให้กว้างขวาง สร้างทางด่วน และจัดเตรียมพื้นที่จอดรถอย่างเพียงพอ แต่ภายใต้ความสะดวกสบายที่ฉาบฉวยนี้ กลับซ่อนผลกระทบด้านลบที่กัดกร่อนคุณภาพชีวิต สังคม และเศรษฐกิจของเมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึงกรุงเทพมหานคร
ไปดูว่า ผังเมืองที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์ก่อนมนุษย์นั้น "ทำลาย" เมืองอย่างไร และสำรวจแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการสร้าง "เมืองคนเดิน" (People-Centric City)
ผังเมืองแบบ Car-Centric ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Urban Sprawl หรือการขยายตัวของเมืองอย่างกระจัดกระจายและไม่เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพารถยนต์อย่างสมบูรณ์
ในเมืองที่เน้นรถยนต์ การออกแบบถนนมักให้ความสำคัญกับถนนสายหลักขนาดใหญ่ (Arterial Roads) และทางด่วน เพื่อให้รถสามารถใช้ความเร็วสูงและเข้าถึงพื้นที่รอบนอกได้ง่าย ในขณะที่ถนนรองและซอยย่อยถูกปล่อยให้เป็นไปตามการพัฒนาของเอกชน นำไปสู่ปัญหา "ซอยตัน" จำนวนมาก (เช่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในกรุงเทพฯ)
เมื่อการเข้าถึงถนนหลักทำได้ยากจากพื้นที่อยู่อาศัย ทำให้ผู้คนต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางจากบ้านไปยังระบบขนส่งสาธารณะหรือถนนหลัก ส่งผลให้
การสร้างถนนใหญ่และทางด่วนที่ผ่ากลางชุมชนเป็นการสร้าง "กำแพงกั้น" ที่ตัดขาดความสัมพันธ์ของพื้นที่ใกล้เคียงออกจากกัน ทำให้กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจในย่านนั้นลดลง ผู้คนไม่ได้เดินพบปะกันอีกต่อไป แต่เลือกที่จะขับรถจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทางโดยเร็วที่สุด
หนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงแต่ถูกมองข้ามที่สุดของผังเมืองแบบ Car-Centric คือ "ต้นทุนของที่จอดรถ" ที่เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรที่ดินในเมืองอย่างมหาศาล
ในเขตธุรกิจและย่านการค้าที่มีมูลค่าสูง ที่จอดรถกลายเป็นพื้นที่ที่กินเนื้อที่อันมีค่าไปหลายตารางเมตร โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียวที่ควรถูกใช้เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีถูกเปลี่ยนเป็นลานจอดรถคอนกรีต
นักผังเมืองบางคนกล่าวว่า "เราไม่ได้มีปัญหาการจราจรติดขัด แต่เรามีปัญหาพื้นที่จอดรถที่มากเกินไป"
เมื่อมีการกำหนดให้ธุรกิจและอาคารต้องมีที่จอดรถตามจำนวนที่กำหนด (Minimum Parking Requirements) จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
กล่าวได้ว่า ทุกคนต้องจ่าย "ภาษี" สำหรับที่จอดรถ ไม่ว่าพวกเขาจะขับรถหรือไม่ก็ตาม เพราะราคาสินค้าที่เราซื้อได้รวมค่าใช้จ่ายในการจัดหาพื้นที่จอดรถของร้านค้าไว้แล้ว
ผังเมืองที่มุ่งเน้นรถยนต์ได้สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยบังคับให้การเดินทางที่สะดวกสบายเป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น
ในผังเมือง Car-Centric ถนนถูกมองเป็น "พื้นที่สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ" ทำให้ผู้คนที่เลือกหรือไม่สามารถขับรถได้กลายเป็น "พลเมืองชั้นสอง" ในการใช้พื้นที่สาธารณะ
การเปลี่ยนทิศทางจากการเป็นเมือง Car-Centric สู่ People-Centric ต้องเริ่มจากการปรับปรุงปรัชญาการออกแบบถนน
Complete Streets คือแนวคิดที่ปรับเปลี่ยนถนนให้มีความ "สมบูรณ์" โดยเน้นการจัดสรรพื้นที่อย่างเท่าเทียมสำหรับผู้ใช้ถนนทุกประเภท ไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่รถยนต์อีกต่อไป องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่:
การปรับใช้ Complete Streets ไม่ใช่แค่การทาสีใหม่ แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางวิศวกรรมจราจรทั้งหมด
ตัวอย่างที่ล้มเหลว
ลอสแอนเจลิส , สหรัฐอเมริกา
LA ถูกมองว่าเป็นต้นแบบของผังเมืองที่ถูกครอบงำด้วยรถยนต์ การสร้างทางด่วนขนาดใหญ่และโครงข่ายถนนที่กว้างขวางทำให้ผู้คนอาศัยอยู่ห่างไกลจากที่ทำงานและแหล่งอำนวยความสะดวก ผลลัพธ์คือ การจราจรติดขัดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผู้คนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถ และการเดินทางในระยะสั้นก็ต้องใช้รถยนต์เสมอ
ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก
โคเปนเฮเกนเปลี่ยนตัวเองจากเมืองที่ประสบปัญหารถยนต์ล้นเมืองในช่วงปี 1960s สู่ "เมืองจักรยานโลก" ด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่:
ผลลัพธ์คือ มากกว่า 62% ของพลเมืองในโคเปนเฮเกนใช้จักรยานในการเดินทางไปทำงานหรือเรียน ทำให้เมืองมีมลพิษต่ำลง, เศรษฐกิจย่านการค้าดีขึ้น และประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ปัญหาการจราจรติดขัดและคุณภาพชีวิตในเมืองไม่ได้แก้ได้ด้วยการสร้างถนนเพิ่มหรือขยายทางด่วน แต่ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ "ความคิดที่ว่ารถยนต์คือศูนย์กลางของเมือง"
การเปลี่ยนผ่านสู่ "เมืองคนเดิน" ไม่ได้หมายถึงการแบนรถยนต์ทั้งหมด แต่คือการสร้าง สมดุล และให้ทางเลือกแก่ประชาชนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อระบบขนส่งสาธารณะดี, ฟุตบาทปลอดภัย, และการปั่นจักรยานเป็นเรื่องง่าย ผู้คนก็จะเลือกใช้ทางเลือกอื่นโดยธรรมชาติ และนั่นคือทางเดียวที่จะนำความยั่งยืน, ความเสมอภาค, และความมีชีวิตชีวาที่แท้จริงกลับคืนสู่เมืองของเราได้