สำนักข่าวขแมร์ไทม์ส (Khmer Times) ของกัมพูชารายงานเช้าวันนี้ (25 มิถุนายน) ว่า กัมพูชาจะไม่ยอมแพ้ต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจของไทย โดยนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ฮุน มาเนต ย้ำว่า รัฐบาลได้เตรียมพร้อมรับมือแรงกดดันทางเศรษฐกิจเอาไว้แล้ว หลังรัฐบาลไทยพยายามกดดันด้วยการใช้อาวุธทางเศรษฐกิจ ทั้งการตัดไฟ อินเทอร์เน็ต น้ำมันและการค้าชายแดน
ฮุน มาเนตเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ประเทศไทยกำลังใช้สามยุทธศาสตร์เพื่อกดดันกัมพูชา ประการแรกคือการปลุกระดมความเคลื่อนไหวชาตินิยม การใช้เศรษฐกิจเป็นอาวุธ และการโชว์ศักยภาพทางกองทัพ
นอกจากนี้ ยังระบุว่า เป้าหมายที่แท้จริงของไทยคือการทำลายชื่อเสียงของกัมพูชาและสร้างภาพลักษณ์ของกัมพูชาในสายตาชาวโลกว่าเป็นศูนย์กลางการหลอกลวงออนไลน์
เชย์ เต็ก นักวิจัยเศรษฐศาสตร์และสังคมยอมรับว่า รัฐบาลไทยกำลังใช้การค้าทวิภาคี การท่องเที่ยว และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นเครื่องมือกดดันให้กัมพูชาถอนคำร้องเรื่องพรมแดนออกจากศาลโลก
“ไม่ว่าจะผ่านการทูต การทหาร หรือแม้แต่กลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยก็ตอบโต้ด้วยวิธีเชิงรุกและมีประสิทธิภาพ ทำให้กัมพูชาสูญเสียผลประโยชน์”
แต่ในประเด็นการค้าทวิภาคี เขาย้ำว่า กัมพูชาอยู่ในสถานะผู้ซื้อ ขณะที่ไทยเป็นผู้ขาย ตัวเลขทางการค้าแสดงให้เห็นว่า การส่งออกของกัมพูชาไปไทยอยู่ที่ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกของไทยไปกัมพูชาเกินกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ของกัมพูชามองว่า ในโลกธุรกิจ ผู้บริโภคคือราชา และคนขายต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ ซึ่งคนซื้อมีแหล่งเข้าถึงสินค้าได้หลากหลาย
นายเชย์ยังระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาตระหนักดีถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่ไทยมีต่อประเทศเพื่อนบ้าน และได้วางกลยุทธ์ตอบโต้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น การจำกัดการนำเข้าผัก ผลไม้ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากประเทศไทย
สำหรับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณชายแดน นายเชย์เรียกร้องให้ประชาชนอย่ากังวล พร้อมระบุว่า หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นจริง ก็น่าจะจำกัดอยู่เฉพาะในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจากประสบการณ์ในอดีตถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของกัมพูชา
“ประเทศไทยยังอาจสูญเสียแรงงานกัมพูชากว่า 2 ล้านคน ซึ่งรวมถึงแรงงานถูกกฎหมายราว 1.2 ล้านคน และแรงงานผิดกฎหมายอีกราว 800,000 คน ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 100,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ” เขากล่าว
นายเชย์ยังเน้นว่า นอกจากแรงงานเหล่านี้จะทำงานในภาคอุตสาหกรรมแล้ว ส่วนใหญ่ยังใช้จ่ายเงินที่หาได้ภายในประเทศไทย ทั้งในการซื้อสินค้าและบริการ โดยมีเพียงบางส่วนที่ส่งกลับประเทศ จึงถือว่าพวกเขามีบทบาทเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม
เขายังกล่าวอีกว่า ภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรของกัมพูชากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การที่แรงงานเหล่านี้จะเดินทางกลับประเทศ จึงสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศที่ต้องการแรงงานจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม นายเชย์ระบุว่า ไม่ใช่แรงงานทั้งหมด 2 ล้านคนจะเดินทางกลับ เนื่องจากรัฐบาลไทยเองก็มีมาตรการคุ้มครองแรงงานกัมพูชา เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติหรือการใช้ความรุนแรงกับแรงงานข้ามชาติด้วย