กลางทุ่งนาในจังหวัดกำปงจาม ประเทศกัมพูชา เมื่อกว่า 60 ปีก่อน เด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวชาวนาฐานะยากจน ชีวิตของเขาเริ่มต้นด้วยความลำบาก ต้องเร่ร่อนออกจากบ้านตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี อาศัยอยู่วัดเพื่อเอาตัวรอด และใช้โอกาสเพียงเล็กน้อยที่มีในการเล่าเรียนหนังสือ
เด็กชายคนนั้นคือ สมเด็จฮุน เซน ผู้นำทางการเมืองของกัมพูชา เขาครองอำนาจมาแล้วกว่าสามทศวรรษ และนับเป็นหนึ่งในผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในโลก
เรื่องราวเหล่านี้ ถูกบอกเล่าผ่านละครทีวีที่มีชื่อว่า “The Son Under the Full Moon” หรือ “บุตรชายแห่งจันทร์เพ็ญ” ที่ออกอากาศเมื่อปี 2023
ซีรีส์เรื่องนี้บอกเล่าชีวิตของฮุน เซนตั้งแต่วัยเด็กที่แร้นแค้นในชนบทของจังหวัดกำปงจาม สู่วัยหนุ่มที่ร่วมกับขบวนการเขมรแดง ขบวนการคอมมิวนิสต์สุดโต่งที่มีบทบาทโค่นล้มรัฐบาลที่สหรัฐหนุนหลังในปี 1975 ก่อนที่เขาจะหันหลังให้ระบอบเขมรแดง และลี้ภัยไปยังเวียดนามในช่วงที่เกิดการล้างบางภายใน
ภาพในซีรีส์ถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยอารมณ์ ความหวัง และแรงศรัทธา เสริมแต่งด้วยองค์ประกอบเหนือจริง เช่น ดาวตก เทพเจ้าและดวงวิญญาณแบบเขมร ที่ปรากฏตัวเพื่อชี้นำหนุ่มน้อยฮุน เซน ให้เดินบนเส้นทาง “ผู้ปลดปล่อยชาติ”
แต่ทางรัฐบาลยืนยันว่า ทั้งหมดคือเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง โดยโสก อายสาน ,โฆษกพรรคพลังประชาชน หรือ CPP บอกว่า “มันคือเรื่องจริงที่มาจากเรื่องราวของผู้นำของเรา มันไม่ใช่เรื่องแต่ง มันไม่ใช่เทพนิยายโบราณหรือร่วมสมัย มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้นำของเราทำจริง ๆ เพื่อหาวิธีช่วยเหลือประเทศชาติจากระบอบการปกครองแบบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
โฆษกพรรคพลังประชาชนยืนยันว่า ซีรีส์นี้ไม่ได้ใช้งบประมาณจากภาครัฐ และได้รับทุนสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรค ขณะที่สมเด็จฮุน เซน ก็เคยให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำตาว่า นี่คือเรื่องของเขาจริงๆ และเขามีส่วนร่วมในการเขียนบทด้วยตนเอง
“ชีวประวัตินี้มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว คือโปรโมทผู้นำของเรา เพื่อให้ผู้คนและโลกได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับความพากเพียรของเขา จากการเป็นบุคคลธรรมดา มาสู่รัฐบุรุษ” โสก อายสานกล่าว
ในปี 1970 ขณะอายุ 18 ปี ฮุน เซน เข้าร่วมขบวนการปฏิวัติเขมรแดงโดยจับมือกับเจ้าชายนโรดม สีหนุ อดีตผู้นำกัมพูชา เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายพลลอน นอล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การเคลื่อนไหวครั้งนั้นมีเป้าหมายเพื่อปลดแอกกัมพูชาจากอิทธิพลของชาติมหาอำนาจ ท้ายที่สุด เขมรแดงก็สามารถยึดครองประเทศได้ในปี 1975
เมื่อกลุ่มเขมรแดงเริ่มปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และกำจัดฝ่ายที่เห็นต่าง ฮุน เซน ซึ่งอยู่ในกลุ่มนั้นเองกลับตกเป็นเป้าหมายความขัดแย้งภายใน ตัดสินใจลี้ภัยไปยังเวียดนาม
เมื่อกองทัพเวียดนามบุกเข้ายึดครองกัมพูชา ฮุน เซนก็กลับเข้าสู่ประเทศพร้อมกับกองทัพผู้ปลดปล่อย และได้ถูกแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลใหม่ที่สนับสนุนโดยเวียดนาม
จากนั้นเพียงไม่กี่ปี เขาก็ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปี 1982 และเพียง 3 ปีต่อมา ฮุน เซน ก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาในวัยเพียง 33 ปี
ในช่วงเวลานั้น กัมพูชากำลังฟื้นตัวจากสงครามและความหายนะของยุคเขมรแดง ประชาชนโหยหาความมั่นคง ชาวเขมรไม่ได้สนใจเรื่องระบอบการปกครองมากเท่าปากท้อง ความเป็นอยู่ และฮุน เซน ได้วางตัวเองเป็นผู้นำที่สามารถสร้างเสถียรภาพให้ประเทศได้อีกครั้ง
ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฮุนเซนเข้าสู่ตำแหน่งผ่านการเลือกตั้งมาโดยตลอด แต่เป็นการเลือกตั้งที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต ฉ้อโกง และปราบปรามฝ่ายเห็นต่างอย่างรุนแรงมาตลอด
ในการเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาเมื่อปี 2013 คู่แข่งสำคัญของพรรครัฐบาล พรรคประชาชนกัมพูชา คือพรรคกู้ชาติกัมพูชา นำโดยสมรังสี ที่ก่อนหน้านี้ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศและเพิ่งกลับมา
การเลือกตั้งในเวลานั้นเกิดขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ามีการโกงเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิออกมาใช้สิทธิซ้ำซ้อน แม้กระทั่งจนถึงเวลาปิดหีบ และนับคะแนน ประชาชนก็ถูกกันไม่ให้เข้าไปดูการนับคะแนน หรือบางหน่วยเลือกตั้งก็ทำการนับคะแนนในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างแบบมิดชิด
ในเย็นวันเลือกตั้ง เมื่อผลเลือกตั้งออกมาแล้วว่า พรรคของสมเด็จฮุนเซนน่าจะชนะไปอีกครั้ง แบบที่ประชาชนเต็มไปด้วยคำถาม จลาจลก็เกิดขึ้นในเมืองหลวง ประชาชนรวมตัวประท้วงด้วยความไม่พอใจ และมีการจุดไฟเผารถ ปิดถนน
โทรทัศน์รายงานข่าวผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรครัฐบาลชนะเลือกตั้ง 68 ที่นั่ง จาก 123 ที่นั่งในรัฐสภา ขณะที่ฝ่ายค้านได้ไป 55 ที่นั่ง ถึงแม้จะชนะ แต่ก็ถือว่าพรรครัฐบาลได้ที่นั่งลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าอยู่มาก
ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นถูกปฏิเสธโดยนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้าน แม้ว่าพรรคของเขาอาจได้รับจำนวนที่นั่งในสภาสูงเป็นประวัติการณ์ แต่เขายังคงยืนยันว่าพรรคของเขาจะชนะการเลือกตั้ง หากการลงคะแนนเป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรม
เหตุประท้วงเกิดขึ้นตามท้องถนนในกรุงพนมเปญ และกว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะสามารถประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ ก็ผ่านไปหลายสัปดาห์ แต่ท้ายสุด ชัยชนะก็ตกอยู่กับสมเด็จฮุนเซนอยู่ดี
เราจะสังเกตเห็นว่า ฮุนเซนเข้าสู่บัลลังก์การเมืองผ่านการเลือกตั้งตลอด แต่ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เสรี ไม่ยุติธรรม ถัดมาในการเลือกตั้งปี 2018 ฮุนเซนก็ลงเลือกตั้งอีกครั้ง และครั้งนั้น เขาไม่มีคู่แข่งหลักเลย
การเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาเมื่อปี 2018 ถือเป็นการเลือกตั้งที่ ไม่มีคู่แข่งหลัก อย่างแท้จริง เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านหลักคือ พรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party – CNRP) ถูก ศาลสูงสุดสั่งยุบพรรค ไปก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 2017 ด้วยข้อกล่าวหาเรื่อง “สมคบคิดล้มล้างรัฐบาล”
ดังนั้น ในการเลือกตั้งปี 2018 พรรคพลังประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party – CPP) ของ สมเด็จฮุน เซน จึง ไม่มีคู่แข่งสำคัญทางการเมือง แม้จะมีพรรคเล็กอีก 19 พรรค เข้าร่วมแข่งขัน แต่ส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็น พรรคที่ขาดความแข็งแกร่ง หรือเป็น "พรรคไม้ประดับ" (decoration parties) ที่ไม่ได้ท้าทายอำนาจของ CPP อย่างจริงจัง
และผลการเลือกตั้งออกมาเป็นไปตามคาด CPP ได้รับชัยชนะ ถล่มทลาย ครองที่นั่งในรัฐสภาทั้งหมด 125 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งนั้นมีผู้มาใช้สิทธิประมาณ 83% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่มีการรายงานบัตรเสียกว่า 600,000 ใบ ซึ่งบางส่วนเชื่อว่าเป็น การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของผู้ไม่พอใจ ต่อการขาดทางเลือก
การเลือกตั้งปี 2018 จึงถูกวิจารณ์จากนานาชาติอย่างหนักว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย และ ขาดความชอบธรรม โดยประเทศตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป งดให้การสนับสนุนหรือถอนเงินช่วยเหลือด้านเลือกตั้งในครั้งนั้น
ผู้นำพรรคกู้ชาติกัมพูชาอย่างสมรังสี ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่เขายังคงเคลื่อนไหวและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลตระกูลฮุนผ่านสื่อสากลและช่องทางออนไลน์
ส่วนเข็ม โสกา ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกู้ชาติอีกหนึ่งคน เผชิญชะตาที่ต่างออกไป ในปี 2023 ศาลในกัมพูชาตัดสินให้เข็มมีความผิดในคดีสมคบคิดกับต่างชาติ และ พิพากษาจำคุก 27 ปี พร้อมสั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองตลอดชีวิต
ปัจจุบัน เขาถูกสั่งกักบริเวณที่บ้าน และห้ามออกนอกบริเวณโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ
นอกจากการปราบปรามผู้เห็นต่าง การควบคุมสื่อคือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในกัมพูชา สื่อหลายแห่งต้องปิดตัวลง หรือถูกโดนจับ เพราะการรายงานข่าวที่ไม่เป็นมิตรต่อรัฐบาล
ทั้งหมดนี้ คือกลยุทธ์ที่ฮุนเซนใช้ปกครองกัมพูชามาตลอดหลายสิบปี
วิรัก อู นักวิเคราะห์การเมืองกัมพูชาบอกว่า "ถ้าคุณดูประวัติของฮุน เซน เขาเป็นคนที่ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีการศึกษาระดับสูงด้านวิชาการ แต่เขาเข้าใจเหตุการณ์ระดับโลก และอ่านเกมการเมืองได้อย่างแม่นยำ ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เขาปกครองด้วยมือเหล็ก ปราบปรามฝ่ายค้าน ภาคประชาสังคม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงควบคุมพื้นที่สื่ออย่างเข้มงวดด้วย"
เมื่อรัฐเข้าควบคุมสื่อ ควบคุมการเลือกตั้งแล้ว ประชาชนที่ไม่มีตัวเลือก ก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายทางการเมือง บางคนไม่รู้จะออกไปเลือกตั้งทำไม เพราะผลลัพธ์ก็ทราบล่วงหน้าแล้ว
ซัม โอล คนขับรถตุ๊กตุ๊กชาวกัมพูชาให้สัมภาษณ์กับ AFP ว่า เขาไม่ได้สนใจการเลือกตั้งที่พรรครัฐบาลชนะ เพราะมันไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชน หากว่ามีพรรคฝ่ายค้าน ก็คงน่าสนใจกว่านี้