ยกเลิกคว่ำบาตรแล้ว ทรัมป์จิบน้ำชากับผู้นำซีเรียซึ่งเคยมีค่าหัว 10 ล้าน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้พบปะจิบน้ำชากับอาห์เหม็ด อัล-ชาเราะห์ ประธานาธิบดีรักษาการของซีเรีย ซึ่งเดินทางมาพบทรัมป์ที่กรุงริยาด ของซาอุดีอาระเบีย นับเป็นการพบปะกันหลังทรัมป์ประกาศว่าจะยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาพถ่ายที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย แสดงให้เห็นผู้นำทั้งสองยิ้มแย้มอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางบรรยากาศของความร่วมมือทางการทูตครั้งใหม่ โดยมีมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน ทรงอยู่ด้วย
กระทรวงการต่างประเทศซีเรียระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะยืนหยัดเคียงข้างซีเรียในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศ
ก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่มีมายาวนานต่อซีเรีย ระหว่างเยือนซาอุฯ ซึ่งเรียกเสียงปรบมือจากผู้เข้าร่วมการประชุม โดยทรัมป์ให้เครดิตมกุฎราชกุมารบิน ซัลมานและซาอุฯ ว่าอยู่เบื้องหลังการยกเลิกคว่ำบาตรครั้งนี้
สหรัฐฯ เคยตั้งค่าหัวผู้นำซีเรียคนปัจจุบัน 10 ล้านดอลลาร์
อาห์เหม็ดคืออดีตนักรบญิฮาด เขาเป็นผู้นำกลุ่มโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานหลายสิบปี และหลังจากอัสซาดหลบหนีออกนอกประเทศ อาห์เหม็ดก็ประกาศตนเเป็นผู้นำซีเรีย ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยตั้งค่าหัวเขาสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ แต่เพิ่งมายกเลิกไปเมื่อไม่นานมานี้
อาห์เหม็ดเคยเป็นผู้นำแนวร่วมอัล-นุสรา กลุ่มติดอาวุธสาขาของอัลกออิดะห์ในซีเรีย โดยในปี 2013 เขาถูกขึ้นบัญชีดำจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตายหลายครั้งทั่วประเทศซีเรีย
ขณะที่ก่อนหน้านั้น เขาใช้เวลาหลายปีในการสู้รบกับกองทัพสหรัฐฯ ในอิรัก ก่อนจะย้ายเข้าสู่ซีเรียและก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มกบฏอิสลามิสต์ที่สามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการของบาชาร์ อัล-อัสซาดได้สำเร็จ
การพบกันครั้งนี้เกิดขึ้นที่กรุงริยาด และถือเป็นการพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำซีเรียครั้งแรกในรอบ 25 ปี ซึ่งทางการซีเรียเรียกเหตุการณ์นี้ว่า เป็นประวัติศาสตร์
เศรษฐกิจซีเรียกระทบหนักจากคว่ำบาตร
สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีซีเรียเป็น “รัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย” มาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 1979 และเศรษฐกิจของซีเรียได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก โดยเฉพาะกฎหมาย Caesar Act ของสหรัฐฯ ที่ประกาศใช้ในปี 2019 ซึ่งห้ามบุคคล องค์กร หรือรัฐบาลใด ๆ ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาจเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลอัสซาด ส่งผลให้เศรษฐกิจของซีเรียกลายเป็น “สิ่งต้องห้าม” ในสายตานักลงทุนทั่วโลก
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจของซีเรียหดตัวลงมากกว่าครึ่งในช่วงปี 2010–2020 และจนถึงปี 2022 มีประชากรซีเรียราว 69% ที่อาศัยอยู่ภายใต้ความยากจน โดยหนึ่งในสี่ของประชากรเผชิญกับความยากจนระดับรุนแรง และตัวเลขดังกล่าวอาจยิ่งแย่ลง หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023
