ตลอดเวลากว่า 750 ปีที่ผ่านมา คณะคาร์ดินัลของวาติกันต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเคร่งครัดเกี่ยวกับอาหารที่บริโภค เพื่อป้องกันการส่งข้อความลับที่อาจซ่อนอยู่ในไก่ ราวีโอลี หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดปาก ในระหว่างการลงคะแนนเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ หรือที่เรียกว่า Conclave
และในสัปดาห์ที่ผ่านมา คาร์ดินัลหลายคนอาจเร่งรีบหาร้านอาหารดี ๆ เพื่อรับประทานให้เต็มที่ เพราะเมื่อการประชุมเลือกพระสันตะปาปาเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ คาร์ดินัลทั้ง 135 รูปที่จะร่วมลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกคนใหม่ จะถูกแยกตัวจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ทั้งการลงคะแนน นอน และรับประทานอาหารจะเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดในพื้นที่ปิด
การเลือกพระสันตะปาปาเป็นกระบวนการลับที่สุดงานหนึ่งของวาติกัน คาร์ดินัลทั้งหมดจะถูกควบคุมให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยห้ามมีการส่งข้อความเข้าออก ยกเว้นสัญญาณควันจากปล่องไฟที่บอกผลการลงคะแนน หากได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่แล้ว ควันสีขาวจะถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่หากยังไม่ได้ข้อยุติ ควันสีดำจะถูกปล่อย หมายถึงต้องมีการลงคะแนนรอบใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะต้องได้เสียงสนับสนุนถึง “สองในสามบวกหนึ่ง” เพื่อให้ได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในการประชุมจะเป็นความลับทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ คาร์ดินัลเหล่านี้ต้องกินอาหาร ซึ่งระยะเวลาก็อาจจะยืดเยื้อเป็นสัปดาห์จนกว่าจะได้ผู้นำคนใหม่
อาหารจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดที่สุด เพราะในอดีต อาหารเคยเป็นช่องทางเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล เช่น พ่อครัวอาจยัดข้อความลับไว้ในราวีโอลี หรือผ้าเช็ดปากอาจถูกใช้ส่งข่าวสารออกไป ขณะเดียวกัน การรับประทานอาหารร่วมกันก็เป็นช่วงเวลาที่อาจเกิดการต่อรองลับระหว่างคาร์ดินัล โดยไม่ต้องพูดออกมาตรง ๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่วัฒนธรรมอาหารของวาติกันในช่วง conclave กลายเป็นภาพสะท้อนของอำนาจ เงื่อนงำ และการต่อสู้เชิงกลยุทธ์ในหมู่ผู้นำศาสนา
ในภาพยนตร์ Conclave ที่ออกฉายในปี 2024 ผู้กำกับเลือกให้เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงอาหาร มากกว่าห้องลงคะแนนจริง เสียงพูดคุยจอแจในห้องรับประทานอาหารตัดกับความเงียบงันในห้องลงคะแนน ซึ่งแทบไม่มีบทสนทนาใด ๆ นอกจากถ้อยปฏิญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คาร์ดินัลเปล่งออกมาในขณะหย่อนบัตรลงคะแนน แม้ภาพยนตร์จะไม่ได้สะท้อนข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่สิ่งที่แฝงอยู่ก็ชัดเจนว่า ในวัฒนธรรมอาหารของวาติกัน เช่นเดียวกับในสังคมทั่วไป สิ่งที่คุณกิน กินกับใคร และกินอย่างไร สามารถสื่อสารได้ลึกซึ้งกว่าคำพูด
กฎแห่งความลับของการลงคะแนนเลือกพระสันตะปาปามีรากฐานย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ. 1274 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10 ประกาศใช้ระเบียบเหล่านั้น ซึ่งยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน การลงคะแนนในเวลานั้นถือว่าเป็นหนึ่งใน conclave ที่กินเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ คือนานเกือบ 3 ปี (1268–1271) และตามบันทึกของนักนิติศาสตร์ศาสนา เฮนริคัส เดอ เซกูซิโอ ซึ่งเข้าร่วมใน conclave ครั้งนั้น ชาวเมืองรอบวาติกันถึงกับขู่จะจำกัดอาหารของคาร์ดินัลเพื่อเร่งการตัดสินใจ
กระบวนการอันเงียบงันหลังบานประตูปิดเหล่านี้ จึงมีทั้งความศักดิ์สิทธิ์และความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ในทุกรายละเอียด
หนึ่งในกฎสำคัญที่สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10 กำหนดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1274 และยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน คือ การแยกตัวคาร์ดินัลออกจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาดระหว่างการเลือกตั้งพระสันตะปาปา รวมถึงการจำกัดอาหารอย่างเข้มงวด หากผ่านไปสามวันแล้วยังไม่มีฉันทามติ คาร์ดินัลจะได้รับเพียงมื้อเดียวต่อวัน และหากครบแปดวันโดยไร้ข้อสรุป อาหารจะถูกลดเหลือเพียงขนมปังกับน้ำเปล่า
แม้ในศตวรรษที่ 14 สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 6 จะผ่อนคลายกฎนี้ โดยอนุญาตให้เสิร์ฟอาหารสามคอร์ส ประกอบด้วยซุป จานหลัก (ปลา เนื้อ หรือไข่) และของหวาน เช่น ชีสหรือผลไม้ แต่การควบคุมความลับของการลงคะแนนยังคงเข้มงวดไม่เปลี่ยนแปลง
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหารในคอนเคลฟมาจาก บาร์โทโลเมโอ สกัปปี พ่อครัวชื่อดังแห่งยุคเรอเนซองส์ และอาจถือได้ว่าเป็น “เซเลบริตี้เชฟ” คนแรกของโลก ผู้เคยรับใช้สมเด็จพระสันตะปาปาเปียสที่ 4 และเปียสที่ 5 หนังสือ Opera Dell’Arte del Cucinare หรือ ศิลปะแห่งการปรุงอาหาร ซึ่งเขาเขียนในปี 1570 กลายเป็นตำราอาหารเล่มแรกที่เขียนโดยเชฟตัวจริง และเผยให้เห็นเบื้องหลังการจัดเลี้ยงในการลงคะแนนที่เลือกสมเด็จพระสันตะปาปายูลิอุสที่ 3 รวมถึงมาตรการความปลอดภัยอันเข้มงวดที่ยังคงปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้
ตามบันทึกของสกัปปี อาหารของคาร์ดินัลถูกจัดเตรียมในครัวกลางโดยพ่อครัวและซอมเมอลิเยร และกระบวนการส่งอาหารใช้วิธีหมุนเวียนตามลำดับที่จับสลาก และก่อนที่อาหารจะถูกส่งออกไปจะต้องผ่านการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่พิเศษ เพื่อยืนยันว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมซ่อนอยู่ ทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้การจับตาของทหารอิตาเลียนและสวิส
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่วัฒนธรรม “การกินอย่างมีระเบียบและลับสุดยอด” ของวาติกันยังคงมีอยู่