
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 เกิดแผ่นดินไหวนอกชายฝั่งญี่ปุ่น และทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดเข้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ ส่งผลทำให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้รับความเสียหายและเกิดวิกฤตนิวเคลียร์ตามมาหลังจากนั้น ซึ่งกลายเป็นประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดหน้าหนึ่งของญี่ปุ่นก็ว่าได้
ผ่านมากว่า 10 ปี ในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะกลับมาเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องหนึ่งที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งดังกล่าว ท่ามกลางคำถามสำคัญว่า การเปิดครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ เพราะประชาชนยังคงจดจำฝันร้ายที่เกิดขึ้นได้ดี จนเกิดการตั้งคำถามว่า ชาวญี่ปุ่นจะสามารถมองข้ามวิกฤตนิวเคลียร์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งนั้น เพื่อแลกกับความมั่นคงทางพลังงานได้หรือไม่
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางการญี่ปุ่นอนุมัติให้กลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ ซึ่งเป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่สุดในโลกได้ หลังปิดไฟนานกว่า 10 ปี นับจากเกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิซัดเมื่อปี 2011 ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตนิวเคลียร์ครั้งใหญ่นับจากนั้น
แม้ว่าจะยังคงมีความเป็นกังวลจากประชาชนจำนวนมาก แต่จังหวัดนีงาตะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ ก็อนุมัติการเปิดดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เปิดทางให้ TEPCO ผู้ให้บริการไฟฟ้าของญี่ปุ่น เริ่มเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 1 เครื่อง จากทั้งหมด 7 เครื่องได้ โดยคาดการณ์ว่า TEPCO น่าจะเริ่มเปิดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 6 ประมาณวันที่ 20 มกราคม 2026 ที่จะถึงนี้
อายาโกะ โอกะ เกษตรกรและนักเคลื่อนไหวต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ วัย 52 ปี เข้าร่วมการประท้วงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในจังหวัดนีงาตะ ซึ่งเป็นบ้านใหม่ของเธอ หลังอพยพออกจากพื้นที่รอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะตั้งแต่ปี 2011 พร้อมกับผู้คนอีกกว่า 160,000 คน บ้านเดิมของเธออยู่ภายในรัศมี 20 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้า ซึ่งถูกประกาศเป็นเขตหวงห้ามจากการปนเปื้อนกัมมันตรังสี
โอกะเล่าว่า พวกเรารู้ถึงความเสี่ยงจากอุบัติเหตุนิวเคลียร์จากประสบการณ์ตรง ดังนั้นจึงไม่อาจมองข้ามมันได้ โดยเธอยังคงเผชิญกับอาการคล้ายภาวะเครียดหลังเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน
เจ้าหน้าที่กำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า มีน้ำที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีไตรเทียมรั่วไหล ระหว่างการรื้อถอนเตาปฏิกรณ์ฟุเก็น ในจังหวัดฟุกุอิ ตอนกลางของญี่ปุ่น
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (23 ธันวาคม 68) โดยขณะนี้เตาปฏิกรณ์ดังกล่าวอยู่ระหว่างกระบวนการปลดระวางการใช้งาน
ทางการระบุว่า คนงานไม่ได้รับรังสีภายในร่างกาย เช่น จากการกลืนน้ำที่มีสารกัมมันตรังสีเข้าไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการได้รับรังสีภายนอก อาจเกิดจากน้ำกัมมันตรังสีกระเด็นสัมผัสผิวหนังหรือช่องทางอื่น
แต่เจ้าหน้าที่เน้นย้ำว่า ยังไม่พบสัญญาณว่าสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกนอกพื้นที่ควบคุม และสถานีตรวจวัดระดับรังสีภายในโรงงานนิวเคลียร์ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด
เมื่อการแข่งขันระดับโลก เพื่อพุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 หรือ Net Zero 2050 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายพลังงาน หลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น ในฐานะแหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพ ต้นทุนคุ้มค่า และปล่อยคาร์บอนต่ำ
นวัตกรรมอย่างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (Small Modular Reactors: SMRs) รวมถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีฟิวชัน ได้จุดกระแสความสนใจอีกครั้ง จนแม้แต่ประเทศที่เคยมีท่าทีคัดค้านอย่างเยอรมนีก็เริ่มผ่อนคลายจุดยืน ขณะที่จีนและฝรั่งเศสวางตัวเป็นผู้นำด้านนิวเคลียร์ ฮ่องกงก็ตั้งเป้าเพิ่มการใช้พลังงานนิวเคลียร์ และสิงคโปร์กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของพลังงานปรมาณูและฟิวชันอย่างจริงจัง
ด้านซานาเอะ ทาคาอิจิ ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ราวสองเดือน แสดงจุดยืนสนับสนุนการกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ